June 1, 2020

The Athenee หรือ Plaza Athenee เดิม เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เป็นตำนานอยู่บนถนนวิทยุหนึ่งในพื้นที่ที่ห้อมร้อมไปด้วยโรงแรมหรู สถานทูต คอนโดระดับท็อปแบรนด์ และสถานที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ ชื่อเสียงของ The Athenee นั้นก็เลยเต็มไปด้วยเรื่องราวของการจัดงานที่หรูหรา งานแต่งงาน งานเลี้ยงต้อนรับระดับนานชาติ หรือเป็นที่พักให้แขกบ้านแขกเมืองในการประชุมนานาชาติ หรือรับรองผู้นำประเทศ

เหมือนกับหลาย ๆ คนผมมีโอกาสได้มาเยือน The Athenee บ้างในโอกาสงานแต่ง งานประชุม และงานเลี้ยงของสถานทูต แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้นอนหรือใช้ Facilities ต่าง ๆ ของ The Athenee อย่างเต็มที่ ในรีวิวนี้โชคดีมาก เมื่อ AWC บริษัทผู้ถือหุ้นของโรงแรมเครือ Marriott ในไทยได้จัดโปรโมชันให้เราสามารถจองเข้ามาพักได้ในราคาเพียง 1,117 บาท/คืน เท่านั้น โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก จึงลองเก็บบรรยากาศมาฝากทุกคน และก็ไม่รู้ว่าโอกาสที่จะได้มาพักที่นี่อีกครั้งจะอีกนานแค่ไหน (และคงไม่ต้องมีเหตุผลอะไรที่จะมานอนที่นี่อยู่แล้ว ถ้าให้มาเองแล้วจองราคาเต็มไม่ไหวแน่ ๆ )

a Luxury Collection Hotel คืออะไร

ชื่อเต็มของ The Athenee นั้นจะมีการเติมท้ายไปว่า a Luxury Collection Hotel ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นการเติมให้มันยาว ๆ ดูเท่ แต่จริง ๆ แล้วมันมาจากการแบ่ง Tier ของโรงแรมในเครือ Marriott ซึ่งเขาจะแบ่งระดับชั้นของโรงแรมในเครือออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่

  • Luxury เป็นโรงแรมระดับหรู ตัวท็อปสูงสุด ประกอบไปด้วยโรงแรมในตระกูล Luxury Collection Hotel ทั้งหมด โรงแรมตระกูล Ritz-Carlton, Jw Marriott, St. Regis ต่าง ๆ ซึ่งแค่พูดชื่อก็นึกภาพความหรูหราออกมาแล้ว
  • Premium เป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม ตระกูล Sheraton, Marriott, Meridien, Westin ต่าง ๆ
  • Select โรงแรมระดับ 4 ดาว เน้นกลุ่มตลาดลูกค้าทั่วไป ไม่หวือหวามากนัก แต่ก็สะดวกสบายไม่ทิ้งความเป็นแบรนด์ Marriott
  • Longer Stays เน้นการอยู่แบบยาว ๆ แต่ก็ยังคงความสะดวกสบายและหรูหรา

ในประเทศไทย มีโรงแรมที่เป็นตระกูล Luxury Collection Hotel อยู่เพียงแค่ 4 แห่งเท่านั้น 2 ที่ ที่กรุงเทพได้แก่ Sheraton Grande Sukhumvit และ The Athenee ส่วนอีกสองแห่งอยู่ที่สมุยและภูเก็ต ได้แก่ Vana Belle และ The Naka Island

ดังนั้น The Athenee จึงนับว่าเป็นโรงแรมตัวท็อปของ Marriott ที่ทางแบรนด์ภูมิใจนำเสนอเลยก็ว่าได้

พาชม The Athenee โรงแรมตัวท็อป เขาอยู่กันอย่างไร

ทางเข้าของโรงแรมจะอยู่บริเวณด้านข้าง ไม่ได้อยู่ฝั่งถนนใหญ่ เมื่อเลี้ยวเข้ามาที่ถนนวิทยุเจอโรงแรมก็เลี้ยวซ้ายเข้ามาก็จะเจอจุดรับส่ง พนักงานจะเริ่มต้นดูแลเราตั้งแต่จุดนี้คือเข้ามาเปิดประตูรถให้ และพาเดินมายังเคาเตอร์เช็คอินของโรงแรม

ตามมาตรการรับมือกับ Coronavirus ก็จะมีการแสกนอุณหภูมิก่อนเข้ามาในพื้นที่บริเวณโรงแรม รวมถึงให้แสกนเช็คอิน และทำความเข้าใจข้อปฏิบัติในการ Social Distancing

เอกลักษณ์ของ The Athenee ที่ถ้าใครจัดงานแต่งที่นี่แล้วต้องมาถ่ายรูปกันทุกรายก็คือบันไดสุดแกรนด์ที่อยู่กลางโถงต้อนรับ รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านอาหาร เคาเตอร์ต่าง ๆ ที่เดี๋ยวเราจะพามาค่อย ๆ ไล่ดูกัน

หลังจากที่เช็คอินเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพาเรามาส่งที่ห้อง ห้องพักของ The Athenee นั้นก็มีหลายระดับด้วยกันตั้งแต่ระดับใหญ่โตเป็นพระราชวังไว้สำหรับรองรับผู้นำประเทศ มาจนถึงในระดับกลาง ๆ แต่ก็ยังให้ความหรูหรากับแขกทุกคน ซึ่งห้องที่เราเลือกจองมานั้นเป็นห้องพักแบบ Guest room ธรรมดา แต่รายละเอียดข้างในเมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่ามาก

สไตล์การจัดชั้นของที่นี่จะนำห้องพักมาไว้ตั้งแต่บริเวณชั้น 7 เป็นต้นไปเท่านั้น ทำให้ทุกห้องจะได้วิวจากมุมสูง ไล่ตั้งแต่ชั้น 7 ไปจนถึงชั้น 26 เลยทีเดียว

และนี่ก็คือโฉมหน้าของห้องพัก ซึ่งจะประกอบไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย มีโต๊ะสำหรับทำงานพร้อมด้วยเก้าอี้ทำงานแบบจริง ๆ มีโซฟา Day Bed บริเวณริมหน้าต่างให้นั่งพักผ่อน และพื้นห้องปูด้วยพรม

บริเวณหัวเตียงก็จะมีปลั๊คไฟ ระบบไฟของที่นี่จะมีการเขียนระบุเอาไว้ทำให้เวลาเลือกเปิดปิดไม่ต้องสุ่มแบบมั่ว ๆ และที่สำคัญคือมีสายชาร์จรูปแบบต่าง ๆ ไว้ให้บริการที่หัวเตียงด้วย

เครื่องใช้อื่น ๆ ในห้องก็ตามปกติ เครื่องเขียน ปากกา ตามที่โรงแรมจะมีให้

สำหรับวิวที่เราได้ในวันนี้เป็นวิวหันไปทางอาคาร All Season มองลงไปจะเห็นสระว่ายน้ำ ข้อดีของ The Athenee อย่างหนึ่งก็คือ เขาออกแบบตัวตึกมาในลักษณะแบน ๆ ทำให้ห้องทุกห้องจะมองเห็นวิวที่ไม่ถูกบดบังด้วยตัวตึกเอง และแต่ละห้องก็จะอยู่สูงกว่าตึกบริเวณรอบข้างทุกห้องจึงไม่มีห้องไหนเลยที่วิวไม่สวย

ย้อนกลับมาดูที่บริเวณห้องน้ำ ห้องน้ำของ The Athenee ทุกห้อง ทุกระดับชั้นจะมีอ่างอาบน้ำมาให้เหมือนกันหมด ซึ่งอันนี้เป็นข้อดี เพราะแม้จะเป็นโรงแรมระดับสูงก็ไม่ใช่ว่าทุกที่จะมีอ่างอาบน้ำมาให้ ส่วนก๊อกน้ำก็เป็นก๊อกน้ำอุ่นนำ้เย็นตามสไตล์ตะวันตก อ่างล้างหน้าเป็นแบบเดี่ยวใช้ร่วมกัน มีห้องอาบน้ำแยกจากส่วนอ่าง ไม่แย่งพื้นที่กัน และมีการติดตั้ง Rain Shower ในห้องอาบน้ำมาให้

ในห้องจะมีการเตรียมชุดคลุมอาบน้ำ (ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการออกไปว่ายน้ำ) และมีผ้าขนหนูให้ชนิดที่ว่าเช็ดทุกส่วนแยกกันได้ และผ้าขนหนูที่นี่เป็นแบบหนักมากทอมาดีมาก มีน้ำหนักระดับกิโลกรัม รู้สึกถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

ในขณะที่ชุดอาบน้ำ ครีมอาบน้ำ น้ำยานวดผม น้ำยาสระผม ก็ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีชุดแปรงสีฟัน, ยาสีฟัน อุปกรณ์อาบน้ำจัดไว้ให้แบบจัดเต็ม มีโลชันต่าง ๆ ซึ่งอันนี้ขอเพิ่มได้เรื่อย ๆ หรือลืมอะไรก็สามารถโทรไปขอให้เอามาให้ได้ ข้อนี้หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเราสามารถขอชุดโกนหนวดจากโรงแรมได้ด้วย

ในส่วนของอาหารการกินในห้อง ก็จะมีการจัดเตรียม Minibar และขนมเอาไว้ให้ ซึ่งราคาก็ไม่ได้เวอร์วังไปมากนัก ตามแบบโรงแรมนั่นแหละ สูง แต่ถ้าขี้เกียจจริง ๆ ก็คือ Target นอกจากนี้ก็จะยังมีเครื่องทำกาแฟสำเร็จรูปไว้ให้บริการในห้อง มีชา กาแฟต่าง ๆ น้ำร้อนพร้อม

ความเจ๋งของที่นี่ก็คือแก้ว ในห้องมีแก้วให้บริการทุกรูปแบบใครเป็นสายดื่ม จะดื่มไวน์ขาว ไวน์แดง แชมเปญ วิสกี้ มีแก้วแบบที่ท่านต้องการให้ครบ ไม่พอใจโทรไปขอเพิ่มได้

ชมรีวิวห้องไปเรียบร้อยแล้ว มาลองดู Facilities อื่น ๆ ของโรงแรมกันบ้าง ที่แรกที่จะพาไปเลยก็คือห้องอาหาร

ทานข้าวที่ห้องอาหาร The House of Smooth Curry

ที่ The Athnee นั้นมีห้องอาหารให้เลือกมาทานกันได้ถึง 8 ห้อง ทั้งในรูปแบบของห้องอาหารจริงจัง จัดเลี้ยง ไลน์อาหารบุฟเฟ่ บาร์ บาร์ริมสระ ร้านขนมน่ารัก ๆ เรียกว่าครบหมด แต่ในคืนนี้เราจะไปทานอาหารเย็นกันที่ห้องอาหารไทย ที่ชื่อว่า The House of Smooth Curry (จริง ๆ แล้วแต่ชอบเลย หลายคนแนะนำว่าควรไปทานห้องอาหารจีน แต่วันที่เราไปนั้นห้องเต็ม)

ทีมพนักงานบริการอย่างดีมาก ๆ ทันทีที่ไปถึงก็เชิญไปที่โต๊ะ ปูผ้าให้ และยกผ้าร้อนมาให้บริการ พร้อมกับ Welcome Drink เป็นน้ำอัญชัน ซึ่งที่นี่จะให้บริการเป็นกับข้าว เราสามารถเลือกสั่งกับข้าวที่ชอบได้จากเมนู ทุกเมนูจะมาพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ ที่พนักงานจะเดินมาตักให้และเติมได้เรื่อย ๆ (ไม่ต้องสั่งข้าวเพิ่ม)

หลังจากที่สั่งอาหารไปแล้ว พนักงานก็จะยกของทานเล่นมาให้ก่อน เป็นข้าวเกรียบน้ำพริก (ฟรี) ให้ทานเล่นระหว่างรออาหาร

เมนูแรกที่เราสั่งไปก็คือปลากระพงทอดน้ำปลา มาพร้อมยำมะม่วง วิธีทอดปลาของที่นี่คือการคว้านเอาเนื้อปลาออกมาเป็นชิ้น ๆ ก่อน แล้วค่อยนำไปทอดพร้อมกับตัวปลา และนำกลับมาวางบนปลาอีกครั้ง ทำให้เวลาเราตักทาน เราไม่ต้องแซะเอาเนื้อปลาออกมาจากตัวปลา และไม่ต้องแย่งกันแซะจนหน้าตาออกมาไม่เรียบร้อย แบบนี้สามารถยกเป็นชิ้น ๆ ชิ้นใครชิ้นมันได้เลย

เมนูที่สองก็คือ ทอดมันกุ้งไข่เค็ม เมนูนี้เป็นการนำกุ้งมาทำเป็นทอดมันและยัดไข่เค็มเข้าไปตรงกลาง ทานคู่กับซอสถั่วลิสง มีใบกะเพราทอดกรอบโรยหน้า

เมนูอีกหนึ่งเมนูที่สั่งไปได้แก่ผัดผัก แต่เมนูนี้ลืมถ่ายไว้ ในรูปด้านล่างจะเห็นว่าเมื่อเราทานข้าวหมดจานพนักงานก็จะเดินมาตักเพิ่มให้ตลอด คอยเดินมาเติมให้เรื่อย ๆ ทั้งข้าวทั้งน้ำ เหมาะสำหรับการพาเพื่อน ลูกค้า หรือผู้ใหญ่มาทานข้าวแล้วนั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ (จริง ๆ เมื่ออิ่มแล้วสามารถสั่งของหวานได้ แต่เนื่องจากอิ่มมากแล้วเลยขอข้าม)

แอบกระซิบให้ว่าเราสามารถสั่งอาหารจากห้องอาหารอื่นเข้ามาทานได้ด้วยเช่นกันเผื่อใครไม่อยากทานอาหารไทย ซึ่งเราสามารถขอเมนูได้จากพนักงานและคิดรวมในบิลเดียวกัน แต่ก็ต้องรอตามคิวการให้บริการของห้องอาหารนั้น ๆ ถ้าเกิดว่าห้องอาหารที่เราสั่งมาคนเยอะอาจจะต้องรอนานหน่อย

จบการทานอาหารที่ห้องอาหารไทย สิ่งที่สังเกตได้คือ

  • อาหารรสชาติอร่อย หลายเมนูอาจจะดูธรรมดา ๆ แต่มีความใส่ใจในรายละเอียดการทำ
  • ชอบการสั่งอาหารที่สั่งได้เรื่อย ๆ ข้าวเติมได้ไม่อั้น
  • พนักงานใส่ใจดีมาก คอยมารินน้ำให้ ข้าวหมดก็เดินมาเติม
  • หลังทานเสร็จมีการเข้ามาถามเก็บ Feedback เพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการ

จริง ๆ ที่เราไปทานกันเนื่องจากให้มาเยอะมาก ทานไม่หมด พนักงานก็ช่วยในการนำไปห่อใส่กล่องให้กลับขึ้นไปทานบนห้องเวลาหิวตอนกลางคืนด้วย

การตกแต่งอย่างหนึ่งของที่นี่คือจะมีการนำ Grand Piano มาวางไว้เป็นจุด ๆ ซึ่งเราสามารถไปนั่งเล่นได้จริง ๆ ไม่ได้กั้นรั้วไว้เหมือนในหลาย ๆ ที่

วิวร้อยล้าน ริมสระที่ The View

หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็ขึ้นกันมาต่อที่ชั้น 6 เป็นที่ตั้งของสระว่ายน้ำ และบาร์ริมสระที่ชื่อว่า The View โดยเราสามารถสั่งเครื่องดื่มมานั่งดื่มชมวิวได้ วิวที่ได้ก็สวยงามสมชื่อเพราะเป็นวิวแห่งความหรูหราบนถนนวิทยุ มองเห็นอาคาร 98 Wireless เห็น All Season เห็นโรงแรม Park Hyatt บน Central Embassy และ Okura Pristage บนอาคาร Park Venture

บรรยากาศการนอนแช่น้ำและพักผ่อน

หลังจากที่ทานข้าวแล้ว ดื่มเครื่องดื่มชมวิวแล้ว ก็ได้เวลากลับมานอนพักผ่อนที่ห้อง ซึ่งอย่างที่บอกว่ามีอ่างอาบน้ำให้เราสามารถแช่น้ำได้ และอย่าลืมว่าเราสามารถสั่ง Room Service ขึ้นมาได้ ซึ่งหลังจากที่แช่น้ำเสร็จเราก็สั่งเครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้ขึ้นมาพนักงานก็จะนำมาให้ถึงบนห้อง

เป็นการจบค่ำคืนแห่งการพักผ่อนใน The Athenee ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ a Luxury Collection Hotel อยากมอบให้กับเรา พรุ่งนี้มีแผนที่จะไปลองทานขนมลองใช้บริการสระว่ายน้ำของโรงแรม

The Bakery ร้านขนมเล็ก ๆ น่ารักกลางถนนวิทยุ

เนื่องจากราคาที่เราจองมานั้นไม่ได้รวมอาหารเช้าที่เป็นไลน์บุฟเฟ่อาหารเช้าของโรงแรม และปกติเราเป็นคนที่ไม่ได้ทานอาหารเช้าเยอะขนาดนั้น ก็เลยรู้สึกไม่คุ้มที่จะจ่ายเงินทานอาหารเช้าของโรงแรม และเลือกมานั่งทานที่ร้าน The Bakery ซึ่งใครที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้า The Athenee ก็ต้องเคยผ่านตาอยู่บ้าง

แม้จะเป็นร้านอาหารเช้าของโรงแรมระดับ 5 ดาว แต่จริง ๆ แล้วราคาไม่ได้สูงอย่างที่คิด ถูกกว่า Starbucks ด้วยซ้ำ วันนี้เราสั่งเป็นแซนวิสแซลม่อนรมควัน และช็อกโกแลตร้อนมานั่งทานในบรรยากาศฝนตกตอนเช้า

สระว่ายน้ำและบริการเครื่องดื่มให้ถึงริมสระ

หลังจากทานอาหารเช้าก็กลับมาพักผ่อนบนห้อง ก่อนที่จะถึงเวลาสาย ๆ ก็ได้เวลาไปใช้บริการสระว่ายน้ำของโรงแรม สระของที่นี่นั้นคนไม่เยอะมากนัก โดยเฉพาะวันธรรมดา

สระว่ายน้ำของที่นี่ไม่ได้เป็นแบบ Infinite Pool ไม่ได้หวือหวาหรูหรามีอะไรให้เล่นมากมายนัก แต่ก็แลกมากับพื้นที่ที่กว้างมาก ๆ มีการแบ่งโซนสระผู้ใหญ่ สระเด็กชัดเจน มีบริเวณให้พักผ่อนรอบสระ มีศาลา จะเห็นว่าการออกแบบแบบนี้ แม้จะไม่ได้ดูอลัง หวือหวา แต่เน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากพื้นที่จริง

ซึ่งบริเวณริมสระ เราก็สามารถสั่งไวน์มาให้พนักงานมาเทใส่แก้วให้เรื่อย ๆ ได้ เป็นบรรยากาศการพักผ่อนที่แท้จริง ซึ่งทางโรงแรมก็ได้จัดเตรียมผ้าเช็ดตัว และอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ให้ใช้กันคร่าว ๆ ก่อนไปอาบน้ำที่ห้องได้

สรุปประสบการณ์กับ a Luxury Collection Hotel

การได้มานอนที่ The Athenee นั้นถ้าพูดกันตามจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีโอกาสมากนัก เพราะก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องเสียเงินหลักพันหลักหมื่นมาเพื่อนอนโรงแรมที่ปกติก็นั่งรถไฟฟ้าผ่านทุกวันด้วย ถ้าไม่ใช่ว่ามันลดราคาให้เรามาลอง (ฮา) แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้สัมผัสกับความหรูหราของแบรนด์ระดับโลก ที่อย่างที่บอกว่าใช้ในการรับแขกบ้านแขกเมือง (แม้ว่า Service ที่เราใช้ไปจะเป็นแค่เสี้ยวเดียวก็ตาม)

จุดสังเกตที่น่าสนใจก็คือ

  • พนักงานให้บริการดีมาก มีความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และถูกฝึกมาเพื่องานบริการที่แท้จริง
  • โรงแรมในระดับนี้จะเน้นการออกแบบที่ไม่หือหวามากนัก แต่เน้นความหรูหราและประโยชน์ใช้สอยจริง บางทีเราก็อาจจะไม่ได้ต้องการอะไรที่โดดเด่นมาก แต่ความเรียบง่ายก็คือความหรูหราอย่างหนึ่ง
  • แม้ว่าจะเป็นห้องในระดับล่างสุด แต่การที่ได้ใช้งาน Facilities ต่าง ๆ การได้รับการบริการ และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตัวห้องพักที่ใส่ใจมาก ๆ ทำให้ไม่ได้รู้สึกว่า แขกในแต่ละระดับมีความแตกต่างกันมากนัก พักที่ The Athenee ก็คือพักที่ The Athenee

สรุปว่าชอบและรู้สึกเปิดโลกกับการให้บริการของแบรนด์โรงแรมตัวท็อปว่าสมน้ำสมเนื้อกับการเป็น a Luxury Collection Hotel ที่มีแค่ 4 ที่เท่านั้นในประเทศไทย