น่าจะทราบกันดีแล้วว่า Thai Smile มีชั้นที่ให้บริการอยู่ 2 ชั้น ได้แก่ ชั้น Smile ที่เทียบเท่ากับ Economy Class ปกติ และชั้น Smile Plus ที่ให้บริการเทียบเท่า Premium Economy และแม้ว่าจะมีความแตกต่างเพียงแค่ 2 ชั้นนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า Thai Smile มีมาตรฐานการให้บริการที่ดีกว่าสายการบินอื่น ๆ สำหรับเที่ยวบินในประเทศจริง ๆ แต่ก็แลกมากับราคาที่อยากใช้คำว่า “สูงกว่าแต่ค่อนข้างนิ่ง” ด้วยความเป็นสายการบินในลักษณะ Full Service
ย้อนเตือนความจำกันก่อนว่า ณ เวลานี้ การบินไทยยกเลิกเที่ยวบินในประเทศไปหมดแล้ว (ยกเว้นการบินระหว่าง กรุงเทพ-ภูเก็ต-ยุโรป ที่ผมเคยรีวิวไว้ใน รีวิว TG 922 กรุงเทพ ภูเก็ต แฟรงเฟิร์ต แต่ลงแค่ภูเก็ต บน A350-XWB ที่ทำการบินด้วยเครื่อง A350, 787 และ 777) ทำให้ตัวเลือกในการบินของเราเหลือแค่ Thai Smile และ Bangkok Airways สำหรับ Full Service และตระกูล Budget Airlines อย่าง Thai AirAsia, Thai Vietjet และ Nok Air เท่านั้น
ซึ่งแม้ว่าการบินในชั้น Smile หรือ Economy นั้น จะพรีเมียมพออยู่แล้ว และดีกว่าการบินในประเทศของสายการบินอื่น ๆ ของโลก ค่อนข้างมาก แต่ Thai Smile ก็เลือกที่จะเปิดชั้น Premium Economy ที่เรียกว่า Smile Plus เพื่อมอบบริการที่ดีขึ้นไปอีก มาตรฐานเดิมที่ Thai Smile Plus ทำไว้ ก็ได้แก่ การให้ผู้โดยสารสามารถเข้าใช้บริการ Lounge, เสิร์ฟ Welcome Drink ก่อนขึ้นบิน, การบริการอาหารที่เป็นข้าวจริง ๆ พร้อมมีด ช้อนและส้อม และแก้วจริง ๆ ไม่ใช่แก้วกระดาษ รวมถึงเรื่องทั่ว ๆ ไปอย่าง Piority Boarding ขึ้นเครื่องก่อนลงเครื่องก่อน ซึ่งบริการระดับนี้จะเรียกว่าเป็นชั้น Business ก็ไม่เกินไป
อีกอย่างคือ ได้รับสิทธิ์ในการโหลดกระเป๋าเพิ่มขึ้นเป็น 30 กิโลกรัมด้วยครับ ใครจะแบกบ้านไปลองดูชั้น Smile Plus อาจจะคุ้มกว่าการไปซื้อน้ำหนักเพิ่ม ต้องดูกันดี ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการ COVID-19 ย่ำแย่ลงในช่วงกลางปี 2021 ก็ได้มีกฎหมายห้ามการเดินทางระหว่างจังหวัด ทำให้สายการบินต่าง ๆ ต้องหยุดให้บริการ และแม้ว่าจะมีการผ่อนมาตรการให้เดินทางได้แล้ว ในช่วงท้ายของปี การให้บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเที่ยวบิน ก็ยังคงถูกจำกัดมาจนถึงเดือน สิงหาคม 2022 ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นนโยบายที่เพ้อเจ้อมากครับ เปิดรับนักท่องเที่ยวก็แล้ว เปิดประเทศก็แล้ว แต่ยังสามารถลากยาวนโยบายมาจนเกิน 1 ปี ที่เราไม่สามารถรับประทานอาหารหรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มได้เลย (น้ำเปล่าก็ไม่ได้) ทำให้สายการบินต้องใช้วิธีแพคอาหารใส่ถุงให้ผู้โดยสารนำไปทานที่อื่นแทน
รีวิววันนี้ ผมเลยได้โอกาส พาชมบรรยากาศการให้บริการ แทบจะเต็มรูปแบบอีกครั้งหลังจากสถานการ COVID-19 ทุเลาลง จนสามารถกลับมาเสิร์ฟอาหารได้อีกครั้ง
รีวิวเที่ยวบิน WE102 กรุงเทพเชียงใหม่ บนชั้นประหยัดพรีเมียม
WE 102 ที่ผมเรียกว่า Flight เช้าฉิบหาย มันกลับมาแล้วครับซึ่งเป็น Flight ที่พยายามจะหลีกเลี่ยงเนื่องจากมีกำหนด Boarding 6:50 ซึ่งเรียกได้ว่า ต้องแหกตาไปสนามบินกันออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวแน่ ๆ เสียเงินเพิ่มไปอีก เป็นไฟลต์ที่ปกติพยายามจะหลีกเลี่ยงเมื่อต้องไปเชียงใหม่ แต่รอบนี้ต้องยอมจริง ๆ ครับ เนื่องจากผมจองกระชั้นชิด ทำให้เที่ยวบินอื่น ๆ เต็มจนหมด และแม้กระทั่งชั้น Economy ธรรมดา ยังมีราคาเกือบเท่าชั้น Premium จนยอมถอดใจ กดชั้น Premium มา อย่างน้อยแม้จะแพงขึ้นเยอะ แต่ก็เป็นโอกาสที่จะได้บินชั้น Premium ในประเทศครั้งแรกนับตั้งแต่ COVID (ผมเคยรีวิว Business Class ในประเทศของการบินไทยไว้ใน รีวิว Business Class การบินไทยในประเทศ คุ้มไหม มีกี่แบบ ดีแค่ไหน (2019))
เดินทางออกจากบ้านกันแต่เช้า จนมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลาประมาณ 6:00 ตรง พร้อมกับเดินตัวปลิว ผ่านเคาเตอร์เช็คอิน ผ่านจุดตรวจบัตรโดยสายด้วยบัตรบน Wallet ของ iOS เข้าไปยังเลาจน์ของการบินไทยได้เลย
สุวรรณภูมิช่วงนี้คนหนาแน่นมาก แถว Check-in ต่อคิวยาวเหยียด ใครจะโหลดกระเป๋าอาจจะต้องมีถอดใจกันบ้าง โชคดีที่วันนี้ผมมีเพียงแค่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ หิ้วมา ทำให้ไม่ต้องโหลด เดินตัวปลิวได้เลย
อัพเดทเลาจน์การบินไทยในประเทศ
ในขณะที่สนามบินสุวรรณภูมิมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก มีอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ มีร้านค้าใหม่ ๆ มีการปรับปรุงเพิ่มจุดตรวจอัตโนมัติต่าง ๆ มีเลาจน์ใหม่ ๆ งอกขึ้นมา แต่เลาจน์การบินในฝั่งในประเทศเป็นสิ่งที่อยู่ยงเกิดมาแบบไหน อยู่แบบนั้น! (ความจริงคือมันหดลงด้วยนะครับ บริเวณโล่ง ๆ ด้านหลังหายไปแล้ว) ไม่คิดจะพัฒนา ซึ่งก็จะไปแบบเร็ว ๆ เพราะไม่มีอะไรมาก
พอเข้ามาในเลาจน์ ก็จะพบกับอาหารลักษณะเดิม ๆ เช่น เช้าวันนี้มีอาหารร้อนให้บริการเป็นโจ๊กไก่ (ไม่มีข้าว) พร้อมกับไข่ออนเซน ส่วนขนมที่ให้บริการก็จะเป็นขนมจากร้าน Puff&Pie ของการบินไทย บวกกับขนมหวานจากครัวการบินไทยอีกนิดหน่อย ซึ่งวันนี้เสิร์ฟเป็นวุ้นลำไยกับขนมหมอแกงจิ๋ว รสชาติไม่แย่ครับ หยิบกินหลายชิ้นอยู่
นอกจากนี้ก็จะมีให้บริการเป็นพวกสลัด ชา กาแฟ ซึ่งก็ง่ายดีครับไม่ต้องคิดอะไรเยอะ
ส่วนเครื่องดื่ม เลาจน์การบินไทยในประเทศไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะครับ (และไม่เคยมีด้วย) ใครสายแอล อาจจะต้องเลือกเป็น Coral Lounge ที่เพิ่งมาเปิดใหม่อยู่ข้าง ๆ (ตรงที่ผมบอกว่าเป็นโซนที่หายไปของเลาจน์การบินไทยนั่นแหละครับ)
ตามสไตล์เลาจน์ของสายการบิน คนมาใช้งานจะค่อนข้างเยอะ เพราะแชร์กันระหว่างผู้โดยสารในชั้นพรีเมียม, ผู้โดยสารบัตรทอง Star Alliance และผู้ถือบัตร Piority Pass ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน เรียกได้ว่ามีความหลากหลายของผู้โดยสารเยอะพอสมควร
ได้เวลา Boarding แล้ว
หลังจากที่กินจนอิ่มหลังจากที่ต้องตื่นเช้า ก็ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง ซึ่งวันนี้ Gate ของเราอยู่ที่ B7 ซึ่งเป็น Bus Gate ครับ ซึ่งผมมาสาย เนื่องจากลืมว่าต้องผ่าน Security Check ก่อนเข้า Gate (ก็เข้าเลาจน์ทีไรมันจะชอบคิดว่าเวลา Boarding คือเวลาออกจากเลาจน์) และพอเป็น Bus Gate เราก็ไม่มี Priority Boarding แล้ว จากปกติที่จะมีกั้นช่องพิเศษไว้สำหรับผู้โดยสารชั้น Smile Plus, Gold โดยเฉพาะ จะไปตอนไหนก็ขึ้นได้เลย รอบนี้ก็ยืนรอรถกันอย่างเท่าเทียมครับ
แอบเล่าให้ฟังว่าเที่ยวบินนี้ Delay ครับ เนื่องจากมีผู้โดยสารมาไม่ทัน ทำให้ต้อง Off Load กระเป๋าของผู้โดยสารที่มาไม่ทันออกจากเครื่อง รวมถึงต้องรอผู้โดยสารเที่ยวบิน International ที่เปลี่ยนเครื่องที่สุวรรณภูมิ พร้อมกับการจัดการของฝ่าย Ground ที่เหมือนรอบนี้จะดูงง ๆ จนลูกเรือปวดหัวกัน แต่ลูกเรือก็ยังคงเก็บอาการและดูแลผู้โดยสารได้อย่างมืออาชีพครับ
รีวิวที่นั่งและบริการของ Thai Smile Plus
ที่นั่งของผมวันนี้คือ 32K ซึ่งก็คือแถวที่สอง ริมหน้าต่างด้านขวามือของเครื่อง ซึ่งวันนี้ Thai Smile Plus ขายตั๋วเพียงแค่ 3 แถวเท่านั้น โดยเว้นระยะที่นั่งตรงกลางไว้ ดังนั้นมันใจได้ว่าเราจะไม่นั่งติดกับใคร อย่างไรก็ตาม Smile Plus วันนี้เต็มทุกที่นั่ง 12 คน เต็มความจุของชั้นเลยครับ (Fully Booked)
ข้อดีของชั้น Smile Plus แม้เก้าอี้ที่นั่งจะเป็นเหมือนกับชั้น Economy ทุกประการ แต่จะมี Seat Pitch ที่ไกลกว่า หมายความว่าเราจะได้พื้นที่บริเวณเข่าเพิ่มมากขึ้น (Leg room) ซึ่งทาง Thai Smile ระบุไว้ว่ามีการเว้นระยะห่างจากด้านหน้าถึง 33 นิ้วครับ
อันนี้แอบตกใจที่เห็นว่า Smile Plus ทำไมวันนี้เป็น 3 แถว ทั้ง ๆ ที่เคยเจอแบบ 4 แถว คำตอบก็คือ “ไอ้ม่าน ๆ ที่เห็นนั่นมันเลื่อนได้นะครับ” ความรู้ใหม่
พอ Boarding เรียบร้อย ระยะเวลาผ่านไปก็เริ่ม Push Back เตรียมออกเดินทาง … เอ๊ะ ใช่ครับ เที่ยวบิน Thai Smile Plus รอบนี้ ไม่มีเสิร์ฟ Welcome Drink ครับ ไม่แน่ใจว่ายกเลิกไปเลยหรือว่าเป็นแค่บางเที่ยวบินแรก ๆ ในช่วงกลับมาให้บริการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ไม่เป็นไรครับ ให้อภัย อีกอย่างคือ ไม่มีหมอนรองหลังให้นะครับเที่ยวบินนี้
วันนี้เราขึ้นบินด้วยทางวิ่ง 19L คือฝั่งขวาติดกับฝั่งอาคารผู้โดยสาร A, B มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ การขึ้นบินปกติไม่มีอะไรพิเศษ เวลาขึ้นบินจริง 7:46 ช้ากว่าที่กำหนดไว้ 7:30 ทั้งหมด 14 นาทีถ้วนครับ
พอไต่ระดับเรียบร้อย สัญญาณรัดเข็มขัดดับลง ลูกเรือก็เริ่มปิดม่านกั้นระหว่างด้านหน้าเครื่องบิน และกั้นระหว่างผู้โดยสารชั้น Economy และ Smile Plus และให้บริการ โดยเราจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้นในการบิน การบริการทุกอย่างจะต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว
แอบยอมรับว่าแม้จะมีม่านกั้น แต่ผู้โดยสารเต็ม Flight ขนาดนี้ ความเป็นส่วนตัวลดลงแน่ ๆ ครับ แม้จะไม่ได้นั่งชิดกันก็ตาม แต่ก็จะไม่มีอารมณ์อยากลุกไปเข้าห้องน้ำเท่าไหร่ เพราะถ้านั่งริมหน้าต่างและไม่ได้นั่งแถว 31 ซึ่งเป็นแถวหน้าสุดแล้ว ก็ต้องผ่านผู้โดยสารคนอื่นอยู่ดี
หลังจากที่จัดแจงปิดม่านเรียบร้อย ลูกเรือก็เอาผ้าร้อนมาแจกครับ (น้ำตาจะไหล ไม่ได้เห็นสิ่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว สำหรับในประเทศ)
หลังจากนั้นก็ปูโต๊ะ ซึ่งจะใช้เป็นกระดาษที่มีความหนาแทน ไม่ได้เป็นผ้าสีขาวที่เป็นผ้าจริง ๆ พร้อมกับนำถาดอาหารมาวางให้ พร้อมกับเครื่องดื่มที่เราสั่งไว้ก่อนหน้า (ลูกเรือจะมาเดินถามก่อนบินขึ้นว่าจะรับน้ำอะไร)
สำหรับอาหารในชั้น Smile Plus จะไม่สามารถเลือกได้นะครับ (ยกเว้นจองอาหารพิเศษ) จะเสิร์ฟพร้อมกับผลไม้หรือขนม และน้ำที่เราขอรับไป ในที่นี้ผมสั่งเป็นโค้กธรรมดามาครับ และโปรดโฟกัสที่แก้วนะครับ ใช่ครับ มันคือแก้วกระดาษแบบที่แจกให้กับผู้โดยสารชั้น Economy (ปรับเถอะขอร้อง)
ยังดีที่ช้อนและส้อมที่ให้มายังเป็นช้อนและส้อมโลหะ มาในซองพลาสติกเรียบร้อย พร้อมกับผ้าเย็นที่แจกกันปกตินั่นแหละครับ
อาหารวันนี้เป็น “ข้าวมันไก่ย่าง” ซึ่งอร่อยดีครับ ชอบ ให้ไก่มาค่อนข้างเยอะ ส่วนข้าวก็อุ่นมาร้อน ๆ ถือว่ายังรักษาระดับมาตรฐานของอาหารที่เสิร์ฟได้ค่อนข้างดี ส่วนของหวานเป็นผลไม้ซึ่งก็เฉย ๆ รู้สึกว่าดีได้มากกว่านี้
หลังจากที่กินอิ่มเรียบร้อย พนักงานก็เดินมาเก็บถาดอาหารไป ซึ่งระหว่างนี้เข้าใจว่ายังคงขอน้ำและเครื่องดื่มได้ตลอด (ถ้ามี) แต่ส่วนตัวของีบซักพักดีกว่า
ผ่านไปไม่กี่นาที ไฟรัดเข็มขัดก็กลับมาติดอีกครั้งเป็นสัญญาณว่าเราได้เดินทางใกล้ถึงสนามบินเชียงใหม่เรียบร้อย ลูกเรือกลับมาจัดแจงเปิดม่าน แจ้งให้ปรับพนักที่นั่งตรงเปิดหน้าต่าง หลังจากนั้นก็นำเครื่องลดระดับลงสู่สนามบินเชียงใหม่ ณ เวลา 8:45 เลทจากเวลาเดิมไป 10 นาที
หลังจากเครื่องจอดสนิทเรียบร้อย ผู้โดยสารในชั้น Smile Plus ก็จะได้รับสิทธิ์ให้ลงจากเครื่องก่อน ทีนี้ก็เดินตัวปลิวจะไปไหนก็ไป จะไปรับรถเช่า จะเรียก Grab จะโทรบอกญาติ อะไรก็เต็มที่ครับ เป็นอิสระแล้ว ไม่ต้องรอรับกระเป๋า
สรุปการกลับมาบินของ Thai Smile Plus เต็มรูปแบบอีกครั้ง
เรียกได้ว่า ทำได้ไม่แย่ สำหรับการให้บริการในลักษณะ Premium Economy และการเสิร์ฟอาหารอีกครั้ง แต่ก็มีหลายจุดที่เดาว่ามาตรฐานลดลงจริง ๆ เช่น การใช้แก้วกระดาษ การใช้กระดาษปูโต๊ะแทนผ้า และการลดปริมาณของอาหารที่เสิร์ฟในเที่ยวบิน ไม่มีหมอนรองหลัง รวมถึงการไม่มี Welcome Drink ให้ก็ตาม เหมือนกับว่า เป็นแค่ Economy ที่มีบริการอาหารที่ดีขึ้นมานิดนึงเท่านั้น
แต่ในส่วนของคน การให้บริการ การจัดการความคุ้มค่า เช่น การโหลดกระเป๋า การให้ขึ้นเครื่องก่อนลงก่อน การเข้าเลาจน์ ก็เป็นมาตรฐานเดิม ไม่มีอะไรให้ตำหนิ
Thai Smile Plus ยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในราคาเที่ยวบินละ 4,000 บาทนิด ๆ สำหรับการบินในประเทศ สำหรับใครที่อยากลองประสบการณ์ใหม่ หรืออยู่ในจุดที่ราคาค่าเครื่อง Economy ธรรมดามันสูงมากจริง ๆ หรือเป็นพวกจองวันนี้ บินพรุ่งนี้ มีธุระด่วน Thai Smile Plus อาจจะเป็นคำตอบครับ
ก็หวังว่าจะมีการเพิ่มมาตรฐานหลาย ๆ อย่างให้กลับมาเทียบเท่ากับก่อนยุค Pandemic อีกครั้ง กัดฟันให้อภัยครับ