April 10, 2019

อัพเดท 2021 ปัจจุบันการบินไทยยกเลิกเส้นทางการบินในประเทศทั้งหมด ยกเว้นเที่ยวบินต่อ กรุงเทพ-ภูเก็ต-ยุโรป ดังนั้นรีวิวนี้ได้กลายเป็นตำนานไปแล้วครับ

ปกติแล้วเมื่อพูดถึง Business Class หลายคนอาจจะนึกถึงการเดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้เวลาการเดินทางที่ยาวนาน โดยเฉพาะเวลาไปอเมริกาหรือยุโรปที่บินกันเป็นสิบชั่่วโมงการนั่ง Economy Class ธรรมดานั้นถ้าได้เปลี่ยนเป็น Business Class หรือแค่ Premium Economy ก็จะทำให้การเดินทางสบายยิ่งขึ้น แต่ถ้าพูดถึงการเดินทางในประเทศที่อย่างมาก ๆ ที่ไกลสุดอย่างมากก็ ภูเก็ต – เชียงใหม่ 2 ชั่วโมง Business Class จำเป็นแค่ไหน

วันนี้เราจะมาดูกันว่าประสบการณ์กับการนั่ง Business Class ในประเทศจะต่างจากการบินในชั้น Economy อย่างไร และคุ้มหรือไม่ที่จะเปลี่ยนตัวขึ้นมาอีกราคาเท่าตัวเพื่อแลกกับความสะดวกสบายเหล่านี้

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าการบินในครั้งนี้เกิดจากการนำไมล์ ROP มาแลกตามโปรของการบินไทยตอนนี้ ที่ให้ใช้ไมล์แค่ 10,000 ไมล์เท่านั้น แลกตั๋วชั้น Royal Silk ของการบินไทยไปกลับในประเทศได้ พอเห็นแบบนี้แล้วผู้เขียนเลยจัดการแลกมา 2 ใบเพื่อลองดูว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง (ตอนแรกกะจะแลก Economy แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แลกเพิ่มอีกไม่กี่ไมล์)

Royal Slik Class ในประเทศตอนนี้มีกี่แบบ

คำถามสำคัญก่อนที่เราจะมาดูกันว่ามันสบายแค่ไหน ต้องมาดูก่อนว่ามันมีทั้งหมดกี่แบบ ซึ่งตอนนี้การบินไทยลดเที่ยวบินในประเทศที่บินด้วยรหัส TG เหลือแค่ 3 ปลายทางเท่านั้น ได้แก่ กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) ไป เชียงใหม่, ภูเก็ต และ กระบี่ ที่เหลือจะเป็น Thai Smile หรือ WE บินที่บินด้วยเครื่อง A320 ทั้งหมด

เครื่องบินที่การบินไทยนำมาให้บริการในประเทศ ส่วนมากแล้วจะเป็นเครื่องที่บินระยะสั้น และใช้ในการบินระหว่างประเทศมาสลับผลัดเปลี่ยนกันในเส้นทางใกล้ ๆ ได้แก่

  • Boeing 777-200
  • Airbus A330
  • Boeing 747 (ใช้เฉพาะการบินเที่ยวภูเก็ตอย่างเดียว)

ซึ่งเครื่องพวกนี้จะใช้ในการบินในทวีปเอเชียใกล้ ๆ แต่! เป็นไปได้เช่นกันว่าการบินไทยจะนำเครื่องระยะไกลที่ทำการบินในฝั่งยุโรปมาบินสลับด้วยในบางโอกาส เช่น

  • Airbus A350 XWB (ภาพล่าง 350 ที่สนามบินเชียงใหม่)
  • Boeing 787 Dreamliner
  • Boeing 777-300ER

ซึ่งเครื่องพวกนี้จะใช้ทำการบินไปยุโรปหรือออสเตรเลีย ถ้าได้นั่งถือว่าโชคดีมาก เพราะเบาะต่าง ๆ จะเป็นรุ่นใหม่ และแน่นอนว่า Business Class บน 350, 787, 777-300ER นั้นจะดีกว่าเครื่องที่ใช้ในการบินระยะใกล้แน่นอน

สำหรับวิธีการในการกดจองให้ได้บินกับเครื่องที่อยากได้ หรือวิธีดูโอกาสในการได้บินกับเครื่องแปลก ๆ ที่จะเอามาบินในประเทศอย่าง 350 หรือ 787, 777-300ER ให้อ่านได้ในบทความ รีวิว Economy Class แบบที่ดีที่สุดในการบินไทย วิธีจองให้ได้บิน A350 XWB รุ่นใหม่

รีวิวเที่ยวบิน TG110 บน Royal Slik Class ไปเชียงใหม่

สำหรับเที่ยวบินที่เราจะบินกันในวันนี้ก็คือ TG110 เที่ยวบินไปเชียงใหม่ช่วงเวลาอาหารกลางวันของการบินไทยนั่นเอง (ผู้เขียนไปเชียงใหม่ปกติจะบินเที่ยวเช้าคือ TG104 ซึ่งบอกเลยว่าโอกาสได้เครื่องดี ๆ สูงกว่า 110) ซึ่งดูผ่าน Flight Radar 24 มาหลายวันก็เจอแต่เครื่อง A330 ดังนั้นเดาไม่ยากว่าเราคงได้บิน A330 ที่มีที่นั่ง Business Class เป็นแบบเดิมไม่ได้หรูหราเหมือนบนเส้นทางยุโรป แต่ก็ถือว่าให้อภัยเพราะก็ไม่ได้แย่มากนัก

เดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิเช่นเคย โดยการเช็คอินในประเทศชั้น Royal Silk นั้นจะอยู่ไม่ห่างจากชั้น Economy มาก และมีช่องแยกต่างหากไม่ต้องไปรวมกับผู้โดยสารในชั้น Economy น้ำหนักกระเป๋าที่ได้สำหรับ Royal Slik Class คือ 30 กิโลกรัม และจะได้รับการติดป้าย Priority (ซึ่งสังเกตว่าป้ายของทั้งสองค่าย ฝั่ง One World กับ Star Alliance จะใช้สีส้มคล้ายกัน) ใครที่ลืมเอาของเก่าออก ก็ติดมันไปเลยทั้ง One World ทั้ง Star Alliance (ฮา)

หลังจากที่โหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจากเดิมก็คือเข้าผ่าน Security Check ไปนั่งรอนอนรอหรือกิน McDonald (ที่ราคาคาแพงกว่าปกติ) ในส่วนผู้โดยสารในประเทศ พอเป็น Business Class เราก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าเลาจน์ของการบินไทยหรือ Royal Silk Lounge บริเวณอาคาร A ด้วย โชคดีที่รอบนี้เราจะไปขึ้นเครื่องที่ Gate ในฝั่ง A ทำให้ไม่ต้องเดินไกลมากนัก ถ้าใครขึ้น B ปลาย ๆ ต้องเผื่อเวลาเดินเยอะ ๆ หน่อย

เลาจน์ของ Royal Slik ในประเทศนั้นเปิดให้เฉพาะผู้โดยสารการบินไทยในระดับ Business Class และผู้โดยสายการบินอะไรก็ได้ในระดับ Gold ของ Star Alliance เท่านั้น ไม่แน่ใจว่า Piority Pass ใช้ได้หรือเปล่าแค่บัตรเครดิต Louge Key ใช้ไม่ได้จ้าเคยถามแล้ว

เมื่อมาถึง Louge เราก็จะได้รับรหัส Wifi มาให้ใช้งานได้ฟรี และพอเข้ามาในตัวเลาจน์ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงก็พบว่าคนไม่ได้เยอะมาก และมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควรไม่คนเยอะอึดอัดเหมือนในฝั่งต่างประเทศ ซึ่งหน้าที่ของเราตอนนี้ก็มีแค่กินรอขึ้นเครื่องอย่างเดียว

อาหารที่มีก็ได้แก่ ขนมปัง, สลัด, ของทอดกินเล่นต่าง ๆ และเครื่องดื่มหลากหลายแบบ โค้ก, ชเวปป์ น้ำผลไม้ แต่จะไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก็มากมายพอสมควรแล้ว

แต่ที่เจ๋งก็คือใครที่หิวหนัก ๆ ทางการบินไทยเขาก็มีอาหารจริงจังให้บริการด้วย วันที่ผู้เขียนไปจะเป็นเมนูข้าวมันไก่ ซึ่งรสชาติก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียว (แต่อย่ากินอิ่มมาก เพราะอาหารบนเครื่องก็อร่อยและหลากหลายไม่แพ้กัน)

เวลาไปสนามบินสิ่งที่หลายคนกังวลก็คือห้องน้ำ แม้ว่าสุวรรณภูมิจะมีห้องในบริการค่อนข้างถี่ แต่ในบางครั้งหลายคนก็อาจจะห่วงเรื่องความสะอาดหรือความเป็นส่วนตัว (บางคนไม่ชอบเข้าห้องน้ำที่คนพลุกพล่านตลอดเวลา) ซึ่งใน Lounge ของการบินไทยก็มีห้องน้ำที่เป็นส่วนตัวใช้ได้ให้บริการ ไม่ต้องออกไปใช้ห้องน้ำของสนามบิน

หลังจากที่กินกันรองท้องแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง ใน Lounge จะไม่มีประกาศขึ้นเครื่องดังนั้นต้องระวังเรื่องเวลากันเอง และอย่าลืมว่าผู้โดยสารในชั้น Royal Silk Class นั้นจะได้สิทธิในการขึ้นเครื่องก่อน ดังนั้นอย่ารอจนถึงเวลาค่อยเดินออกไป อาจจะเผื่อเวลาซัก 3-5 นาทีใช้เดิน เพื่อไปนั่งสบาย ๆ รับบริการบนเครื่องบินก่อนคนอื่นดีกว่า

แต่ถ้าไปช้ากว่านั้นก็ไม่ต้องไปต่อคิว สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเป็นชั้น Royal Silk แล้วแซงคิวผู้โดยสารในชั้น Economy เพื่อขึ้นเครื่องก่อนได้ หลายคนเกรงใจไปต่อคิวตาม แต่เป็นสิทธิของเราครับ เราซื้อบริการมาแล้ว

พอขึ้นเครื่องมาพี่ ๆ ลูกเรือก็จะนำผ้าร้อนมาให้ คอยเช็ดมือ ซึ่งผู้เขียนชอบกว่าผ้าเย็น มันฟินกว่า หลักจากนั้นก็จะมี Welcome Drink มาให้ ซึ่งเช่นเดิม ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะเป็นชามะขามและน้ำส้มหรือน้ำเปล่า

สำหรับที่นั่งในชั้น Business Class บนเครื่องแบบ A330 นั้นจะเหมือนกับบนเครื่อง 777-200 คือเราจะนั่งอยู่ในคล้าย ๆ Sleep Pod อะไรซักอย่างของเรา ปรับเบาะเอนจะไม่ไปรบกวนคนข้างหลัง และสามารถปรับนอนได้เกือบสุด ขนาดค่อนข้างกว้างและนั่งสบายคล้ายกับการนั่งเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ๆ

ฟีเจอร์ของตัวที่นั่งก็ไม่มีอะไรมาก สามารถปรับส่วนต่าง ๆ ได้ ยกที่พักขาขึ้นมาได้ ปรับด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด และสามารถนวดหลังได้ (แต่ซักพักจะรำคาญ ปิดไปดีกว่า)

ข้อเสียงของ Business Class รุ่นนี้ก็คือไม่มีที่เก็บของที่ไม่ใช่ช่องด้านบนเลย ปกติผู้เขียนเป็นคนที่ไม่ชอบเอากระเป๋าเป้ไว้บนช่องสัมภาระด้านบนเพราะจะหยิบหนังสือ, คอมพิวเตอร์, สายชาร์จ และของใช้ต่าง ๆ ออกมาใช้หลังจากเครื่อง Take-off เรียบร้อยแล้ว แต่ที่นั่งแบบนี้ต้องเอาสัมภาระไว้บนหัวเท่านั้น วางกับพื้นไม่ได้เพราะไม่มีช่องให้สอดเหมือน Economy

แต่ก็พอเข้าใจว่าปกติแล้วใน Business Class บน 330 และ 777-200 จะจัดเรียงที่นั่งแบบ 2-2-2 ทำให้ถ้ามาด้วยกันการจะเอื้อมขึ้นไปเปิดช่องสัมภาระนั้นไม่ได้ต้องรบกวนคนข้าง ๆ ที่ไม่รู้จักแบบบนชั้น Economy

สำหรับใครที่ชอบมองวิวนอกเครื่องบิน ที่นั่ง Business Class บนเครื่องแบบ Airbus A330 ของการบินไทยนั้นให้หน้าต่างเรามาถึง 2 บานครึ่ง ซึ่งเราก็จะพอนึกออกว่าระยะห่างจากที่นั่งด้านหน้านั้นกว้างแค่ไหน ไม่อึดอัดเลย

ปกติแล้วการบินในชั้น Premium Economy, Business และ First จะให้สิทธิเราได้ขึ้นเครื่องก่อน ทำให้เราต้องรอผู้โดยสารในชั้น Economy ทำการ Bording จนเสร็จ ซึ่งทำให้กินระยะเวลาที่ต้องนั่งรอเฉย ๆ นานกว่า Economy แต่ก็ชดเชยด้วยการที่ไม่ต้องต่อคิวยาว ๆ และลุกเข้าลุกออกให้คนด้านในเข้าไปนั่ง หรือหยุดรอคนเก็บกระเป๋า ซึ่งเป็นช่วงที่วุ่นวายและน่ารำคาญที่สุดของการขึ้นเครื่องบิน ถ้าเดินทางในชั้น Economy เราก็แค่นั่งจิบชามะขามสบาย ๆ แป๊บ ๆ ก็ได้ยินสัญญาณ “Bording Complete” พร้อม Push-back ออกเดินทางกันแล้ว

ข้อดีของการนั่งในชั้น Business Class อีกอย่างก็คือ เราจะได้นั่งในส่วนหัวของเครื่องบินคือแถวหน้า ๆ ทำให้เมื่อมองย้อนกลับไปเราจะเห็นเครื่องยนต์หมุน ๆ ใครที่ชอบเครื่องบินเป็น Aviation Geek, Nerd ก็คงจะฟินกันไป แถมเราจะได้เห็นเจ้าหน้าที่ Push-back ให้สัญญาณคุยกับนักบินได้โดยไม่มีปีกบัง ทำให้เราได้เห็นช็อตสวย ๆ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ปลด Bypass pin ออกจากล้อหลังจาก push-back เสร็จ ทุกคนจะไปยืนเรียงแถวแล้วทำท่าสวัสดีครับพร้อมกัน โบกมือบ๊ายบายให้กับเครื่องบิน เป็นภาพที่น่าประทับใจและหาดูได้เฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น (ขออภัยลืมถ่ายมาให้ชม)

หลังจากที่เครื่อง Take-off เรียบร้อยเราก็จะพบข้อดีของการนั่งหน้าเครื่องอีกอย่างก็คือ เสียงมันเงียบกว่าการนั่งที่กลางหรือท้ายเครื่อง เนื่องจากเวลาเครื่องบินบิน ความเร็วของมันจะเข้าใกล้กับความเร็วของเสียงในอากาศเรื่อย ๆ และเสียงของเครื่องบินก็เกิดจากเครื่องยนต์ซึ่งอยู่บริเวณกลาง ๆ ของเครื่อง พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเครื่องบินอยู่นิ่ง ๆ บริเวณที่ควรจะได้ยินเสียงดังที่สุดคือกลางลำเนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดเสียง และบริเวณหน้าเครื่องกับท้ายเครื่องจะได้ยินเสียงเบาลงมาเล็กน้อย

แต่พอเครื่องบินบินอยู่ด้วยความเร็วสูง เสียงแม้ว่ามันจะพยายามเดินทางจากกลางลำไปที่หน้าลำและท้ายลำซึ่งมีความห่างจากแหล่งกำเนิดเสียงเท่ากัน แต่อากาศซึ่งเป็นตัวกลางไม่ได้เคลื่อนที่มาพร้อมกับเครื่องบินด้วย ทำให้เสียงใน cabin ส่วนหน้าของเครื่องจะเบากว่าบริเวณกลางหรือท้ายลำ และมีความถี่ที่สูงขึ้นแต่ไม่ดังเท่าบริเวณหลังเครื่อง (มาจาก Doppler effect)

หลังจากที่เครื่องไต่ระดับเรียบร้อยพี่ ๆ ลูกเรือก็รีบยกอาหารแบบมื้อจริงจังมาเสิร์ฟ เพราะใช้เวลาเดินทางไปเชียงใหม่แค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ก็จะกางโต๊ะออก ปูโต๊ะด้วยผ้าสีขาวและเสิร์ฟอาหารมาในถ้วยกระเบื้องอย่างดี และแก้วน้ำจริง ๆ ไม่ใช่แก้วพลาสติก

เมนูวันนี้ใน TG110 เป็น ข้าวผัดต้มยำกุ้ง กับไข่ต้มครึ่งฟอง และมีขนมหวานเป็นมูสมะพร้าวกลิ่นอัญชัญ ทั้งสองอย่างรสชาติอร่อยใช้ได้ และมีปริมาณไม่เยอะไม่น้อยไป ใครที่ไม่ได้กินข้่าวมาก่อนสามารถมาหวังกินบนเครื่องพออิ่มได้ ระหว่างทานก็จะมีเดินมาบริการน้ำดื่ม ชา กาแฟ ให้ตลอด คอยรินน้ำให้เรื่อย ๆ (เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ใน Economy Class เพราะต้องเข็นรถไล่จากหัวเครื่องไปท้ายเครื่องไม่ใช่สั้น ๆ)

ในชั้น Business Class นี้จะมีผ้าห่มการบินไทยให้บริการด้วย ซึ่งผ้าห่มจะเป็นแบบผ้านวมจริงจังหลับแล้วจะฟินมาก ไม่เหมือนผ้าแบบบาง ๆ ขน ๆ ในชั้น Economy Class ซึ่งจริง ๆ ก็ขอได้เช่นกัน อันนี้หลายคนอาจจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าผ้าห่มจะไม่เริศหรูเท่า Business เท่านั้นเอง

หลังจากที่กินอิ่มและนั่งห่มผ้าสบาย ๆ ลูกเรือก็มาเดินเช็คความเรียบร้อยก่อนลงจอดและช่วยเราเอาน้ำเอาขยะอะไรไปเก็บให้ พร้อมปรับที่นั่งให้อยู่ในแบบตั้งตรงพร้อมร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่

หลังจากที่เครื่องลงจอด ผู้โดยสารในชั้น Business Class ก็ได้รับสิทธิ์ให้ลงจากเครื่องบินก่อนเช่นกัน ทันทีที่ประตูเปิดก็สามารถเดินไปรอรับกระเป๋าได้เลย แถมกระเป๋าจะมาก่อนด้วย เรียกได้ว่ารอไม่เกิน 10 นาทีลงจากเครื่องเรียก Grab รอไว้ได้เลย

แถม รีวิว Lounge ที่เชียงใหม่ และขากลับ TG111

แอบแถมรีวิว Lounge ของ Royal Slik ที่สนามบินเชียงใหม่ในขากลับบ้าง ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าโคตรมีประโยชน์กว่าที่สุวรรณภูมิอีก เพราะใครที่ไปเชียงใหม่ด้วยเครื่องบินก็จะรู้ว่าสนามบินเชียงใหม่นั้น วุ่นวายมาก เพราะมีปริมาณการใช้งานเกินความจุที่ออกแบบไว้ตอนแรก เวลาต่อแถวขึ้นเครื่ิองแทบจะขี่คอกัน และหางแถวก็บังทางเดินอะไรไปหมด บางทีต้องนั่งกะพื้น จะหาที่สงบ ๆ ทำงานนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่พอบินในชั้น Business ก็จะได้รับสิทธิ์เข้าใช้ Royal Silk Lounge ซึ่งพอเข้าไปเหมือนอยู่อีกโลก

แม้ว่า Royal Silk Lounge ที่เชียงใหม่จะไม่กว้างขวางเท่าที่สุวรรณภูมิ แต่ด้วยเที่ยวบินที่ไม่ได้เยอะเท่า จึงเพียงพอสำหรับการให้บริการผู้โดยสารในชั้น Business และบัตรทอง ROP แน่ ๆ การได้แอบเข้ามาหลบในนี้จึงเป็นสวรรค์ของการมาสนามบินเชียงใหม่เลยทีเดียว

สำหรับน้ำและขนมก็มีให้พอดีพองาม และห้องน้ำที่ไม่ต้องออกไปแย่งกับใคร

ส่วนอาหารของเที่ยวบิน TG111 ในขากลับวันนี้เป็นมะกะโรนีไก่ ซึ่งจืดมาก ๆ แต่ก็พอทานได้เหมือนเป็นอาหารเด็กซะมากกว่า แต่ก็ให้อภัยเพราะมีขนมฟัดจ์ชาเขียวราดด้วยซอสถั่วแดงให้กินซึ่งอร่อยกว่ามูสมะพร้าวตอนขามา

เป็นการจบการรีวิว Royal Silk ที่ใช้ไมล์แลกมา 2 คน 20,000 ไมล์ และไม่ได้ไมล์ ROP เพิ่มจากการนั่ง บวกกับเสียค่า Fee อื่น ๆ อีกรวมคนละพันนิด ๆ ก็ไม่รู้ว่าคุ้มหรือเปล่า ไม่ว่าจะยอมจ่ายเงินประมาณ 8,000 บาท หรือเอา 20,000 ไมล์แลก คงจะต้องให้ตัดสินกันเองหลังจากจบรีวิวนี้

สรุปสิ่งที่ชอบและไม่ชอบของ Business Class ในประเทศของการบินไทย

ถ้าแลกกับความสะดวกสบายนั้น บอกได้เลยว่าสบายกว่าการนั่งในชั้น Economy แน่ ๆ เพราะบริการที่ดีกว่า ซึ่งถ้าให้สรุปมาเป็นประเด็น ๆ ก็จะมีข้อสังเกตที่สำคัญก็ได้แก่

  • มี Lounge ให้นั่ง ตรงนี้จะจำเป็นหรือไม่จำเป็นขึ้นอยู่กับตัวบุคคล บางคนไม่ได้อินกับ Lounge ขนาดนั้น ปกติบินในประเทศบางทีเรารีบ ๆ ก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี เข้า Gate ทันก็บุญแล้ว (ผู้เขียนเคยเข้า Gate ทันเวลาปิดเป๊ะ ใช้เวลาในการเดินทางจากไอคอนสยามมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ 1 ชั่วโมงแบบลุ้นระทึก)
  • การได้ที่นั่งที่สบายกว่า มา 2 คนจะรู้สึกเป็นส่วนตัวมาก ๆ เบาะปรับได้ตามใจ ขาเหยียดได้ และจะดีกว่านี้ถ้าได้นั่งเครื่องแบบ 350 หรือ 777-300ER
  • มีข้าวให้กิน อันนี้ฟังดูตลก ๆ แต่ถ้ารีบจริง ๆ การนั่งกินข้าวสบาย ๆ บนเครื่องบินมันดีกว่าการต้องไปวิ่งหาข้าวกินเองอีก เพราะบางทีรีบ ๆ ก็ไม่อยากเสียเวลา
  • มันช่วยเรื่องเวลาจริง ๆ ปกติผู้เขียนจะบินการบินไทยและ Thai Smile ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้บริการ Check-in ออนไลน์ได้มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องห่วงเรื่องต้องมาสนามบินล่วงหน้านาน ๆ แล้วนั่งโง่ ๆ ไม่มีอะไรทำ จะทำงานก็ไม่มีสมาธิ เพราะนั่งการบินไทยเราสามารถเปรี้ยว มาแบบกระชั้นชิดได้ ซึ่ง Business Class ช่วยได้เยอะจริง ๆ เพราะถ้าจัดเวลาดี ๆ มาถึงขึ้นเครื่องเลย กิน กิน นอน เครื่องลงก็หยิบกระเป๋าเดินตัวปลิวไปก่อนใคร

ดังนั้นตัดสินไม่ได้ว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ขึ้นอยู่กับว่าอยากจะ Trade มากับอะไรมากกว่า หรือจะมองว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ก็ได้ เพราะจริง ๆ ถ้าเลือกดี ๆ โอกาสจะได้นั่ง Business Class ตัวเดียวกับยุโรปก็มี เอาไว้เก็บแต้มว่าเคยลองที่นั่งของการบินไทยหลาย ๆ แบบ เพราะถ้าจะให้บินยุโรปในชั้น Royal Silk กับการบินไทยแบบจ่ายเงินเองก็คงไม่ทำเพราะแพง

ส่วนข้อเสียของการบินในชั้น Business Class ในประเทศที่พอจะนึกออกก็เช่น

  • ที่นั่งเป็นแบบเก่าซะส่วนมาก ถ้าจองจะนั่งก็คิดไว้เลยว่าจะได้แบบที่เห็นในภาพแน่ ๆ ถ้าโชคดีถึงได้นั่งแบบรุ่นใหม่ ๆ
  • Lounge ไม่ได้สนุกขนาดนั้น คือเน้นอำนวยความสะดวกแต่ไม่ได้ Fancy เหมือนฝั่งต่างประเทศว่ามี Spa ให้นวดฟรี มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจริง ๆ Lounge ในประเทศที่สุวรรณภูมิที่ Fancy ก็มีอยู่เจ้าเดียวคือ Blue Ribbon ของ Bangkok Airways ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และมีห้องอาบน้ำให้
  • เวลากินข้าวน้อยไป เดี๋ยวหาว่าตลกอีก แต่เรามีเวลา Enjoy กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพียงแค่ 1 ชั่วโมง (ไม่นับประสบการณ์ที่สนามบิน)

สรุปแล้วการนั่ง Business Class ในประเทศอาจจะตอบยากว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ซึ่งก็ประเมินกันเอาเอง แต่ถ้าทุนทรัพย์ถึงหรืออยากลองแลกไมล์เล่น ๆ ลองซักครั้งก็ไม่เสียเปล่า เพราะจริง ๆ แล้วการบินในประเทศไทยถือว่าถูกมาก ๆ ใครที่เคยบินสายการบินของอเมริกาในประเทศจะรู้ว่ามันโคตรแพง ผู้เขียนเคยเจอ American Airline จาก Boston ไป DC หมื่นกว่าบาทในที่นั่ง Economy บน A321 ที่สกปรกมาก ๆ และมีโค้ดกับขนมให้แค่ 1 ห่อ แต่ราคาแพงกว่า Business Class กรุงเทพเชียงใหม่หลายพัน ดังนั้นลองดูซักครั้งเถอะครับ แนะนำ