July 6, 2023

วันนี้ผมบินจากสนามบินโตเกียวฮาเนดะ ไปยังสนามบินซานฟรานซิสโก เป็นไฟลต์ต่อเครื่อง จึงได้มีโอกาสมาใช้บริการ Sakura Lounge ในโซน Business Class หลังจากการแวะพักนั่งรถไฟเล่นในกรุงโตเกียวเป็นเวลาสั้น ๆ ซึ่งในบรรยากาศช่วงนี้กรุงโตเกียวร้อนอบอ้าวมาก ๆ การได้แวะพัก อาบน้ำ รับประทานอาหาร ที่เลาจน์ก่อนบินจึงนับว่าเป็นสวรรค์เลยก็ว่าได้ ในรีวิวนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การพักผ่อนในเลาจน์ที่ อยากจะเรียกว่าเป็นหนึ่งในเลาจน์ที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

รีวิวนี้เขียนในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2023 ดังนั้น ข้อมูลบางอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลง ให้เช็คกับทางสายการบินดูนะครับ

ใครที่สามารถใช้งาน Sakura Lounge ได้บ้าง

ก่อนอื่นต้องเคลียร์กันก่อนว่าในเที่ยวบินนี้ ผมบินในชั้น Premium Economy เท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว จะไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้บริการเลาจน์ แต่นโยบายของ​ Japan Airlines นั้น ค่อนข้างใจดีกับผู้โดยสารในทุกชั้น โดยผู้ที่มีสิทธิ์เข้าใช้เลาจน์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ชั้น Economy เลยทีเดียว

  • ผู้ที่ซื้อบัตรในชั้น First Class หรือสมาชิก One World Emerald จะสามารถเข้าใช้เลาจน์ First Class ได้ (เฉพาะสนามบิน Haneda และ Narita)
  • ผู้ที่ซื้อบัตรในชั้น Business Class, Premium Economy และ Full Fare Economy จะสามารถเข้าใช้เลาจน์ Business Class ได้ (โดยสามารถตรวจสอบได้จากที่ Boarding Pass จะมีเขียนว่า Sakura Lounge หรือในกรณีที่ไม่มีเลาจน์ Sakura จะสามารถใช้งานเลาจน์ของ BA หรือ British Airways ได้)
  • ผู้ที่เป็นสมาชิก One World Sapphire ขึ้นไป จะสามารถเข้าใจงาน Business Class Lounge ได้

เรียกได้ว่า ใจดีมาก ๆ สำหรับนโยบายการเข้าเลาจน์ของ Japan Airlines โดยเลาจน์ของ JAL นั้นจะเปิดและปิดอ้างอิงจากตารางบินของ JAL ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเลาจน์จะปิดก่อนเราได้บิน

รีวิวเลาจน์ Sakura Business Class ที่สนามบินฮาเนดะ

ในระยะเวลาสัปดาห์นี้ผมมีโอกาสได้เข้าใช้บริการเลาจน์ Sakura ที่สนามบินฮาเนดะถึงสองครั้งด้วยกัน โดยในรีวิวนี้จะเป็นการพูดถึงรวม ๆ ไม่ได้เจาะจงไปที่ครั้งใดครั้งหนึ่ง

Sakura Business Class Lounge ที่ผมใช้บริการนั้น ตั้งอยู่ที่ Terminal 3 ของสนามบินฮาเนดะ ซึ่งมีถึงสองชั้นด้วยกันได้แก่ Sakura Lounge (ชั้น 4) และ Sakura Sky Lounge (ชั้น 5) แต่ในช่วงที่ผมไปนั้น Sky Lounge ที่ชั้น 5 ปิด ทำให้ได้ใช้บริการที่ชั้น 4 โดยทั้งคู่จะอยู่ตรงข้ามกับ Gate 114 ซึ่งเอาเข้าจริงก็แอบเดินไกลเหมือนกัน ต้องเผื่อเวลาดี ๆ

เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนหรือกดลิฟท์ขึ้นมาก็จะเจอกับโลโก้ของ JAL ด้านขวาจะเป็นทางเข้า ดูโอ่อ่า กว้างขวาง หรูหรา น่าเข้ามาใช้บริการมาก จะเห็นว่าวันที่ผมไปนั้นมีคนเข้ามาใช้บริการเยอะพอสมควร

เมื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสารแล้ว เราก็จะสามารถเข้าใช้บริการเลาจน์ได้อย่างเต็มที่ สิ่งแรกที่ผมทำคือผมต้องการอาบน้ำมากเนื่องจากเหนื่อยจากการนั่งรถไฟ เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าเมื่อเข้าไปในเลาจน์แล้วจะมี QR Code ให้แสกนเพื่อติดตั้ง App Clip (แอพขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เฉพาะบางอย่างบน iPhone ของเรา) และในแอพเราจะสามารถจองคิวห้องอาบน้ำ หรือสั่งอาหารได้ ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาพูดประเด็นนี้กันอีกรอบ

เมื่อเข้ามาเราก็จะพบกับบริเวณขนาดใหญ่ ติดกระจกที่มองออกไปเห็นวิวของสนามบินฮาเนดะ บอกได้เลยว่าสวยมาก ๆ และเป็นเอกลักษณ์มากจริง ๆ ช่วยให้แสงธรรมชาติเข้ามา เลาจน์ดูสว่างไม่มืด

เราสามารถเลือกใช้บริการตามโซนต่าง ๆ ได้เลย แล้วก็ไม่ต้องแบกกระเป๋าหนัก ๆ ไป ๆ มา ๆ เพราะว่าเขามีล็อกเกอร์ให้ เราชอบนั่งแบบเห็นวิว นั่งรับประทานอาหารบนโต๊ะ หรือจะนั่งบนโซฟา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เห็นเลยก็คือเก้าอี้ที่เอนนอนได้ ที่ปกติเราจะเห็นตามเลาจน์สนามบินให้คนมานั่งพักผ่อน แต่ต้องบอกเลยว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะ Sakura Lounge มีสิ่งที่เรียกว่า เก้าอี้นวด

เก้าอี้นวด พร้อมห้องบรรยากาศผ่อนคลาย

แม้ Sakura Lounge แห่งนี้จะไม่มีห้อง Nap Room แต่ก็มีห้องเก้าอี้นวดให้เข้ามาผ่อนคลายได้ ซึ่งเอาเข้าจริงช่วงเวลาที่เราเข้ามาใช้บริการ เรียกได้ว่าไม่มีคนเลย (งงมาก ทั้งที่ปกติคนน่าจะแย่งกัน) อย่างไรก็ตาม JAL เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ห้ามนอนหลับบนเก้าอี้นวด” เพื่อแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ได้เข้ามาใช้บริการบ้าง แต่ JAL ก็ไม่ได้ระบุเวลาว่า จะต้องใช้คนละกี่นาที ก็ถือว่ารักษามรรยาททางสังคมกันเอง หากเห็นว่ามีคนมาต่อคิวใช้ ก็ไม่ควรยึดไช้อยู่คนเดียว โดยเก้าอี้นวดในโซนนี้มีประมาณ 5-6 ตัวได้ครับ

นอกจากห้องนวดแล้ว Sakura Lounge ก็ยังมีห้องโซนเฉพาะอื่น ๆ เช่น ห้องสำหรับคุยโทรศัพท์ ห้องสำหรับสูบบุหรี่ แบ่งเอาไว้เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ให้เราใช้บริการได้

การอาบน้ำ และโคตรห้องอาบน้ำ

อย่างที่ผมเล่าทิ้งเอาไว้ว่า ในการจองห้องอาบน้ำนั้นจะทำผ่าน App Clip ของ Sakura Lounge โดยเราจะสามารถเอา iPhone แสกน QR Code ที่ติดอยู่ที่โต๊ะ เพื่อโหลดแอพ จากนั้นในแอพเราจะสามารถจองห้องอาบน้ำ และดูคิวได้เลย เมื่อถึงคิวเรา ก็ให้เดินไปที่เคาเตอร์ด้านหน้าเพื่อรับกุญแจห้องอาบน้ำ

สำหรับวันนี้ถือว่าโชคดีมาก ที่คิวห้องอาบน้ำของผมเป็น 0 คิว ทำให้กดแล้วได้เลย แต่จะมีรอบหนึ่งที่เมื่อกดแล้วพบว่าคิวมีมากถึง 40 คิว! แต่ก็ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น เพราะรวมเวลารอจริง ๆ แล้วประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เข้าใจว่ามีคนที่จองแล้วไม่ทันจนต้องสละสิทธิ์ไปเยอะอยู่ ดังนั้นใครที่หวังว่าจะมาอาบน้ำ ก็ควรเผื่อเวลาล่วงหน้ามากดคิวซัก 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงกำลังดี

เจ้าหน้าที่จะให้เป็นบัตร Key Card หน้าตาแบบนี้ออกมา โดยเราจะสามารถใช้แตะที่ประตูห้องน้ำได้เลย Sakura Lounge นั้น มีห้องน้ำให้บริการมากมายนับสิบห้อง เรียกได้ว่าเยอะมาก ๆ เลยทีเดียว

และเมื่อเปิดเข้ามาเท่านั้น นี่คือห้องน้ำเลาจน์สายการบินที่อาจจะไม่ได้แฟนซีมากถึงขั้นต้องมีอ่างอาบน้ำ หรือมีสปา แต่มันกลับครบครันและเพรียบร้อมอย่างไม่น่าเชื่อ โถส้วมแบบญี่ปุ่น ก๊อกน้ำเย็นน้ำร้อน เครื่องเป่าผม ผ้าเช็ดตัวแบบแยกเช็ดผม เช็ดหน้า และเช็ดเช็ดตัว แก้วสำหรับแปรงฟัน เครื่องอาบน้ำ

และที่สำคัญก็คือ โซนอาบน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ พร้อมฝักบัวแบบ Rain Shower และฝักบัวแนวขนานสำหรับนวดตัว นวดหลัง ทำให้การอาบน้ำนั้นสะใจสุด ๆ

ครีมอาบน้ำ แชมพู ครีมนวดผม ใช้เป็นของ Prédia ซึ่งอย่าถาม เพราะผมก็ไม่รู้จัก แต่ลองไป Search ดูน่าจะเป็นแบรนด์ดังในญี่ปุ่น ซึ่งราคามันค่อนข้างแพง ขวดละพันกว่าบาท ซึ่งกลิ่นก็หอมดี พึงพอใจ

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อติ ที่อยากจะติตั้งแต่บนเครื่องบิน จนถึงในเลาจน์ก็คือ JAL ไม่มีครีมทาตัว หรือทามือ ที่เป็น Moisturiser ให้บริการเลย ซึ่งเอาจริง ๆ การผิวแห้งกับการนั่งเครื่องบินน่าจะเป็นของคู่กันหรือเปล่า ? รวมถึงในห้องน้ำในเลาจน์ก็กลับไม่มีครีมใด ๆ เลยเช่นกัน แอบน่าหงุดหงิดเล็กน้อย อาบน้ำเสร็จก็ผิวแห้งไปตาม ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าห้องอาบน้ำของ Sakura Lounge นั้นทำได้โคตรดี สะอาด และเกือบจะสมบูรณ์แบบสำหรับการใช้งานปกติมาก ๆ (อย่างที่บอก ไม่นับว่าจะต้องแช่อ่างหรือทำสปาอะไร)

อาหารการกินและการเมา

อาบน้ำสบายตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลากินข้าว เมนูที่ให้บริการอยู่ในเลาจน์ Sakura แห่งนี้จะเป็นอาหารในลักษณะอาหารชุด จะไม่ได้เป็นบุฟเฟ่แบบจัดวางไว้แล้วให้ตักเอง (ซึ่งก็ดีมาก เพราะเหตุผลด้านความสะอาด) โดยเมนูอาหารชุดหลัก ๆ ในวันที่ผมไปก็จะมีดังนี้ครับ ตามป้าย

สิ่งที่อร่อยที่สุดและห้ามพลาดเลยก็คือ JAL Original Beef Curry ซึ่งเป็นแกงกะหรี่เนื้อที่โคตรอร่อย มีสองขนาดให้เลือกคือสำหรับคนที่อยากชิมก่อน (ชุดเล็ก) กับใครที่มั่นใจแล้วว่าสายแกงกะหรี่แน่นอน ก็สั่งชุดใหญ่ไปเลย ของผมคือสั่งชุดใหญ่ไปสองชุด กำลังพออิ่ม

นอกจากนี้ก็จะยังมีอาหารสไตล์ตะวันตกสำหรับใครที่อาจจะไม่ถูกปากอาหารญี่ปุ่น เช่น Fish & Chips (ซึ่งจากการสังเกตแล้วน่าจะเป็นเมนูยอดฮิตอันดับสอง) และ Pasta รวมถึงของหวานอย่าง Tiramisu ก็มีให้บริการด้วย รวมถึงเราสามารถสั่งซุปมิโซะ มาทานคู่กันไปด้วยได้

และนี่ก็คือหน้าตาของแกงกะหรี่เนื้อของ JAL ครับ สั่งไปพร้อมกับซุปมิโซะ อร่อยมาก ๆ ถ้ากลับมาที่นี่อีกก็จะไม่กินข้าวและมากินในเลาจน์แทนแน่ ๆ

นอกจากอาหารที่สั่งได้แล้ว ก็จะยังมีขนมอื่น ๆ ที่สามารถเดินไปตักเองได้เช่นกันครับ ก็จะเป็นพวกของทอด หรือขนมปังต่าง ๆ สามารถเลือกได้เองเลย ในการสั่งอาหารในเมนูก็จะใช้วิธีต่อคิวแล้วสั่งลักษณะแบบนี้ครับ ถ้าเป็นอาหารที่ทำได้ง่าย ๆ เช่นแกงกะหรี่ก็จะได้เลย แต่ถ้าต้องทำ ก็จะมีเครื่องบอกคิวที่จะดังเมื่ออาหารของเราได้แล้วครับ

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

มาถึงสิ่งที่พลาดไม่ได้ในทุกการรีวิวเลาจน์สายการบินนั่นก็คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั่นเอง ทาง JAL จะจัดเอาไว้ในลักษณะบริการตัวเอง หรือจะขอความช่วยเหลือจากพนักงานก็ได้นะครับ

ใครที่เป็นสายดื่มไวน์ขาว ไวน์แดง ก็จะมีตู้กดไวน์ด้วย ข้อดีของตู้กดไวน์แบบนี้ในมุมของเราก็คือสามารถชิมก่อน หรือบางทีเราไม่ได้อยากกินเยอะก็สามารถกดเท่าที่จะกินได้ และในมุมสายการบินก็คือไวน์จะไม่เสียเร็วเพราะมีการควบคุมอุณหภูมิและการ Expose ต่ออากาศภายนอกของตัวไวน์ด้วย

ใครสาย Sparking Wine ก็จะมีให้บริการด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงโซนนี้ก็จะมีเหล้าต่าง ๆ วางไว้ให้บริการ สามารถเลือกชงเองได้ตามความต้องการเลย

และสิ่งที่ต้องมาเล่นอย่างพลาดไม่ได้เลยก็คือ เครื่องกดเบียร์อัตโนมัติ ที่จะมีเสิร์ฟเป็นเบียร์สดให้เรา เอาแก้วเบียร์ที่ถูกแช่เย็นไว้ในตู้มาวางก็สามารถ Enjoy เบียร์เย็น ๆ ได้ทันที (ถ้าจำไม่ผิดคือจะมี Asahii กับ Sapporo ครับ)

นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ก็จะยังมี Soft Drink ต่าง ๆ ชา กาแฟ ชาเขียว น้ำดื่ม ทั้งแบบ Still และแบบ Sparking ให้บริการตามปกติ

จบการรีวิว Sakura Lounge สนามบินฮาเนดะ

สำหรับเลาจน์ Sakura แห่งนี้ที่ชั้น 4 Terminal 3 สนามบินฮาเนดะ ก็นับว่าเป็นหนึ่งใน Business Class Lounge ที่ดีมาก ๆ แห่งหนึ่ง โดยเฉพาะความหลากหลายและใส่ในในเรื่องของอาหาร (คือมีอาหารที่เป็น Signature ของตัวเอง ไม่ใช่แค่จับ Catering มาใส่ ๆ ให้จบ ๆ ไป) รวมถึงสิ่งที่ประทับใจสุด ๆ เลยก็คือห้องน้ำ ที่ Practicle สุด ๆ และความสะอาดที่เป็นหนึ่ง จะเสียอย่างเดียวก็คือเรื่อง ไม่มีครีมทาตัวให้บริการ อาบน้ำเสร็จก็ผิวแห้งตาม ๆ กันไปขึ้นเครื่องบินอีก

สุดท้ายก็หวังว่าคงจะได้มีโอกาสมาใช้บริการเลาจน์แห่งนี้อีก และคงไม่พลาดเมนูแกงกะหรี่อันเป็นเอกลักษณ์ของ JAL ในเลาจน์แห่งนี้ มีโอกาสหน้าก็อยากลองรีวิวเลาจน์ Sakura ที่สนามบินนาริตะ บ้างเช่นกัน