November 4, 2023

เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา การบินไทยเพิ่งรับมอบเครื่องบินลำใหม่ล่าสุดมา 3 ลำ ทั้งหมดเป็นเครื่องบินแบบ Boeing 777-300ER ทะเบียน HS-TTA, HS-TTB และ HS-TTC โดยทั้งสามลำถูกนำมาใช้บินช่วงแรกในเส้นทาง กรุงเทพ – ลอนดอน, กรุงเทพ – นาริตะ และ กรุงเทพ – คันไซ ซึ่งวันนี้ ผมมีโอกาสได้นั่งเครื่องบินรุ่นดังกล่าวในทะเบียน HS-TTC ในชั้น Business Class ใหม่เอี่ยม กลับกรุงเทพในเที่ยวบิน TG623 จากสนามบิน Kansai International Airport เมือง Osaka ประเทศญี่ปุ่น กลับสู่ประเทศไทย

เรียกได้ว่าใครที่หาโอกาสอยากลองบิน Business Class ใหม่ของการบินไทย (ที่มีการปรับปรุงมาจากเดิมเล็กน้อย) ก็สามารถมาทดลองบินแบบไม่สั้นไม่ยาว 6 ชั่วโมง ได้ในเที่ยวบินมาญี่ปุ่นนี่แหละครับ

เริ่มการเดินทางวันนี้จากสนามบิน Kansai ประเทศญี่ปุ่น โดยเครื่องของเราในเที่ยวบิน TG 623 นั้นกำหนดออกเวลา 11:45 โดยจะใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง 50 นาที และถึงกรุงเทพฯ เวลา 3:35 ซึ่งเวลาจะแตกต่างกันสองชั่วโมง เรียกได้เต็มปากว่าเป็นไฟลต์กลางวันครับ

ผมเดินทางถึงสนามบินในช่วงเช้า จัดการเช็คอินตามปกติ โดยสิทธิ์ผู้โดยสารของการบินไทยในชั้น Business Class ก็จะได้เช็คอินในช่องของ Business Class ร่วมกับผู้โดยสารบัตรทองของ Star Alliance ครับ

ระหว่างที่เช็คอิน เจ้าหน้าที่ก็จะจัดแจงบอกรายละเอียดต่าง ๆ มีการแจ้งสิทธิ์การใช้งาน Fast Track ของสนามบิน Kansai เรียบร้อย และเชิญให้ไปใช้บริการที่เลาจน์ของ ANA (การบินไทยเคยมีเลาจน์อยู่ที่ Kansai แต่ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้บริการแล้ว) ที่นั่งวันนี้ของผมเป็น 11K ครับ

เมื่อพูดถึงที่นั่ง ก็อยากจะพูดถึงผังห้องโดยสารของ Boeing 777-300ER ลำใหม่นี้ ที่การบินไทยใช้รหัสว่า 77Y กันซักหน่อย ที่เรียกได้ว่า จะมีความไม่เท่าเทียมกันอยู่ จะนั่งต้องเลือกดี ๆ โดยความไม่เท่าเทียมที่ว่าก็คือ ตัวเครื่องจะมี ห้องโดยสารแรก เป็น First Class ตามมาด้วย ส่วนที่สองเป็น Business Class จัดเรียงแบบ 1-2-1 แบบ 2 แถว หลังจากนั้นจะเป็น Business Class อีกโซนนึง ที่จัดเรียงแบบ 1-2-1 เช่นกัน แต่จะนวนแถวจะเป็น 8 แถวเลยทีเดียว

นั่นทำให้ ห้องโดยสาร Business Class ด้านหน้านั้น จะมีจำนวนผู้โดยสารเพียงแค่ 8 คนเท่านั้น ในขณะที่โซนด้านหลังจะมีผู้โดยสารมากถึง 32 คน เห็นถึงความแตกต่างกันไม่เท่าเทียมนี้มั้ยครับ ถ้าได้นั่งโซนด้านหน้าแน่นอนว่าจะมีความเป็นส่วนตัวเยอะกว่า รวมถึงเวลา Boarding เราจะเดินเลี้ยวซ้าย และไม่ปะปนกับผู้โดยสารในห้องโดยสารอื่นเลย ทั้ง Business Class ในห้องที่สอง และ First Class (เนื่องจาก First Class จะเข้าประตูแรกหน้าสุด) ทำให้ระหว่างที่รอ Boarding จะไม่มีคนมายืนเกะกะ ส่วนตอนลง เราก็จะได้ออกประตูฝั่ง First Class ทำให้แทบไม่ต้องต่อคิวรอเลย

เป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สำคัญสำหรับการเลือกที่นั่งบน 77Y ของการบินไทยครับ

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางเข้าสู่ Fast Lane ของสนามบิน Kansai ได้เลย ไม่ต้องไปต่อคิว รวมระยะเวลาในการผ่านด่านตรวจ ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น ก็เข้าสู่บริเวณด้านในได้เลย โดยสนามบิน Kansai นี้ เกตจะอยู่ค่อนข้างไกล ทำให้ต้องขึ้นรถไฟไปครับ

Gate ของเราในวันนี้เป็น Gate 13 ครับ ซึ่งก็จะอยู่ไม่ไกลกับบริเวณเลาจน์ของ ANA ที่ตั้งอยู่บริเวณ Gate 11 ใช้เวลาเดินประมาณ 3 นาทีเท่านั้น (อันนี้ถือว่าดีแล้วนะครับ)

มาถึงในส่วนของเลาจน์กันบ้าง บอกได้เลยว่า เลาจน์ของ ANA ที่สนามบิน Kansai แห่งนี้ ไม่ได้หวือหวาเลยนะครับ ออกจะธรรมดามาก ๆ เรียกได้ว่าเลาจน์ที่สุวรรณภูมิแทบจะทุกเลาจน์ดีกว่าแน่ ๆ ไลน์อาหารไม่ได้มีเยอะมาก เครื่องดื่มก็จะมีเท่าที่เห็น พอแก้หิวได้ ไม่ได้มีบริการเก้าอี้นวด หรือแม้กระทั่งโซฟาดี ๆ ที่นั่งสบาย ๆ ไว้เอนหลังยังไม่มี และที่สำคัญ ไม่มีห้องอาบน้ำให้ใช้บริการครับ

อย่างไรก็ตาม พนักงานของ ANA นั้นก็น่ารักตามสไตล์สายการบินญี่ปุ่น มีการแนะนำข้อมูลต่าง ๆ เรียบร้อยดี แต่ก็นั่นแหละครับ เลาจน์นี้ไม่มีอะไรจริง ๆ อย่าไปคาดหวังกับมันมาก ที่นั่งทั้งหมดที่เห็นจากภาพ จะเป็นแบบนี้หมดเลยนะครับ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ไม่มีโต๊ะกินข้าวด้วย

ในส่วนของอาหารร้อนก็จะมีให้บริการตามปกตินั่นแหละครับ แต่จะไม่ได้หวือหวาอะไร มีพวกข้าว ซุปต่าง ๆ และแกงกะหรี่ไก่ ที่รสชาติบอกตรง ๆ ว่าธรรมดามากครับ หรือถ้าพูดตรงกว่านี้ก็คือไม่อร่อยนั่นแหละ

ในส่วนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีในระดับที่ไม่เลวแหละครับ มีเหล้าประเภทต่าง ๆ ขนมทานเล่น มีไวน์ขาว แดง และ Sparking ตามปกติ โดยทั้งหมดจะต้องรินใส่ในแก้วแบบ Universal นะครับ ไม่ได้มีประเภทของแก้วไวน์แบ่งไว้ให้ (อะไรจะขนาดนั้น)

อย่างไรก็ดี ในเลาจน์ ANA แห่งนี้ก็ยังมีเครื่องรินเบียร์ไว้ให้บริการนะครับ โดยจะมีสองยี่ห้อให้เลือกคือ Kirin และ Asahi นั่นเอง

มันไม่อร่อยก็ช่างมันเถอะครับ ไม่ต้องทานเยอะ ยังไงวันนี้เราบินกันในชั้น Business Class อยู่แล้วอาหารจัดเต็ม ดังนั้นเก็บท้องไว้ทานบนเครื่องดีกว่า ตอนเช้าเลยจัดแค่เบา ๆ เป็นแกงกะหรี่ไก่ ซุปเนื้อ และเบียร์ครับเช้านี้

หลังจากที่ทานอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็รีบออกจากเลาจน์กันดีกว่าครับ ไม่มีอะไรให้ชื่นชมมาก มาดูเครื่องบินที่เราจะเดินทางกันในวันนี้ นั่นก็คือ 777-300ER ทะเบียน HS-TTC หรือชื่อพระราชทาน “ศรีมงคล” นั่นเอง จอดรอเราอยู่ที่ Gate 13 เป็นที่เรียบร้อยครับ

เมื่อถึงเวลา Boarding เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่องอย่างตรงเวลา แน่นอนว่าผู้โดยสารชั้น Royal First จะถูกเรียกขึ้นเครื่องก่อน ตามด้วยผู้โดยสารชั้น Royal Silk (Business Class) และผู้ถือบัตรทองของ Star Alliance หลังจากนั้นถึงให้ผู้โดยสารท่านอื่นขึ้นเครื่องได้ครับ เราก็เดินขึ้นเครื่องได้เลย

และนี่ก็คือที่นั่งของเราในวันนี้ครับ เป็น 11K ซึ่งอย่างที่บอกว่าเป็น Business Class ที่อยู่ด้านหน้าสุด ติดกับ First Class ซึ่งเราจะเรียกที่นั่งในลักษณะนี้ว่า Bulkhead นั่นแหละครับ โดยด้านหน้าของเราก็จะเป็นช่องเก็บของปกติ ที่เข้าใจว่าอาจจะ (แอบ) มีพื้นที่กว้างกว่าคนอื่นเยอะนิดนึง เพราะไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับผู้โดยสารด้านหน้า แต่เอาจริง ๆ พอเป็น Business Class ที่เป็นคอก ๆ แบบนี้ก็อาจจะไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกครับ

โดยเมื่อขึ้นมา ก็จะเห็นหมอน ผ้าห่มนวม รองเท้า และชุด Aminities ที่วางไว้ให้บนเบาะเรียบร้อย โดยเมนูก็จะถูกวางเอาไว้บนโต๊ะด้านข้างครับ

อีกข้อสังเกตก็คือ Business Class แบบสลับฟันปลาแบบนี้ ควรเลือกที่นั่งริมหน้าต่างนะครับ เนื่องจากเวลานอนจะเป็นส่วนตัวมาก เหมือนนอนอยู่ในหลุมของเรา ถ้าเลือกแบบที่นั่งอยู่ริมทางเดินเวลานอนมันจะเหมือนนอนอยู่แล้วมีคนเดินผ่านไปผ่านมา ดูไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่

หลังจากเข้าที่นั่งเรียบร้อย ลูกเรือก็จะเดินมาแจกผ้าร้อน ให้เช็ดมือ พร้อมทักทายและอธิบายเมนูอาหารของวันนี้แ ซึ่งก็น่ารักสไตล์การบินไทยนั่นแหละครับ มีการยิ้ม คุยเล่น และทักทายอย่างเป็นกันเองแต่สุภาพมาก ๆ รวมถึงเรียกชื่อเรา อย่างในวันนี้ลูกเรือเรียก “คุณณัฐนนท์” ทุกคำเลยครับ ซึ่งผมก็จะเรียกลูกเรือทุก ๆ คนว่าพี่ ๆ อยู่แล้ว

แล้ว Welcome Drink ก็มาครับ วันนี้ผมเลือกเป็นแชมเปญ มาในแก้วสวยงามน่าประทับใจ นั่งจิบระหว่างรอผู้โดยสารท่านอื่น ๆ ขึ้นเครื่องให้เสร็จ

หน้าจอความบันเทิงของที่นั่ง Business Class รุ่นใหม่ ๆ ของการบินไทยก็ขึ้นชื่อด้านขนาดและความสวยงามของจออยู่แล้ว เปิดภาพต้อนรับสวยงามครับ

ดูหน้าคนมีความสุขได้นั่ง Business Class ครับวันนี้ ต้องบอกตรง ๆ ว่าผมชอบการบินไทยเป็นพิเศษ ในแง่ของ Branding และการเป็น Flag Carrier ให้กับประเทศของเรา รวมถึงการใช้โทนสี เพลง เสียง กลิ่น ทุกอย่างมันคือดีมาก เรื่องไหนปรับปรุงได้ก็ปรับปรุงกันไปครับในแง่ของการเมือง สุดท้ายผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการมีสายการบิน Flag Carrier ดี ๆ มันคือหน้าตาของประเทศจริง ๆ

บรรยากาศตอนนี้ก็คือนั่งรอ Boarding ไปพร้อมกับฟังเพลง Signature ของการบินไทยที่เปิดในห้องโดยสาร เช่น ปลายทางคือคุณ, Fly with Me (Be my love) ซึ่งก็เป็นเพลงที่ถ้าผมคิดถึงการนั่งเครื่องบินผมก็จะเปิดฟังเล่น ๆ ใน YouTube ครับ

ทุกคนครับ อ่านมาถึงจุดนี้แล้วก็เกิดความฉิบหายขึ้นครับ เมื่อผมเปิดกระเป๋าดูแล้วพบว่า ลืมสายชาร์จ iPhone เอาไว้ที่เลาจน์ ANA ตอนแรกก็แอบจะยอมทิ้งแล้วแหละครับ เนื่องจากเข้าใจว่าการจะออกไปเอานั้นมีขั้นตอนมากพอสมควร แต่คิดไปคิดมา บินทั้งหมด 6 ชั่วโมงแบบนี้ แบตไม่รอดแน่เลย แถมไม่รู้จะไปหายืมจากใครด้วยเพราะวันนี้บินคนเดียว ก็เลยลุกไปหาพี่ลูกเรือซึ่งกำลังยุ่งกับการ Boarding ผู้โดยสารท่านอื่นด้วยความเกรงใจ ซึ่งก็ได้ความว่าให้แจ้งทาง Purser ได้เลย ในชั้น First Class ซึ่งผมก็รีบเดินไปแจ้งว่าลืมของ ซึ่งทางพี่ลูกเรือ Senior ท่านนี้ก็รีบบอกทีม Flight Operation ที่ Gate ว่าผู้โดยสารลืมของต้องออกไปเอา แจ้งเลขที่นั่ง 11K พร้อมเตือนว่าให้พก Passport และ Boarding Pass ติดตัวตลอดเวลาระหว่างเดินไปเอา และตอนกลับมาให้เข้ามาทางประตู Fist Class เพื่อให้พี่ท่านนี้รู้ว่ากลับมาแล้ว

ใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที ผมก็กลับมาพร้อมกับสายชาร์จที่หายไปเรียบร้อย แอบมีวิ่งเหมือนกันครับ จนทีม Flight Operation เดินตามไม่ทัน และบอกว่า “Sir, Please don’t run” ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เห็นว่ามีทีมวิ่งตามมาด้วย (ฮา) จนสุดท้ายกลับเข้าเครื่องบินได้เรียบร้อย กล่าวขอบคุณพี่ ๆ ทางพี่ลูกเรือซีเนียร์ท่านนี้ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “เจอก็ดีแล้วครับ เข้าใจพี่นะ พอดีมันเป็น Procedure ของสนามบิน” (ออกตัวก่อนว่า ผมไม่มีปัญหาเวลาใครแทนตัวเองว่าพี่นะ น่ารักดี เขาเอ็นดูเราก็คือดีแล้วครับ ตราบใดที่มันไม่ใช่การเอามาข่ม)

เกือบคิดว่า อดดื่มแชมเปญแล้ว ปรากฎว่า Boarding ก็ยังไม่เสร็จครับ แถมกัปตันประกาศผ่าน PA ว่าเที่ยวบินอาจจะต้องออกช้ากว่ากำหนดเนื่องจากการจัดการจราจรทางอากาศแถวทะเลจีนใต้ ทำให้ยังมีเวลาอีก 15 นาที นั่งดื่มแชมเปญสบาย ๆ ลูกเรือท่านอื่นเห็นเราวิ่งมาก็จัดแจง ผ้าร้อนมาอีกผืนให้เช็ดหน้าเช็ดตาครับ (สร้างปัญหามั้ยเนี่ยกู)

มารีวิวกันต่อครับ หูฟังที่ทางการบินไทยใช้ยังคงเป็น AKG แบบ Noise Cancelling เหมือนเดิม ซึ่งก็ใส่สบายดีไม่เจ็บหูมากครับ แต่ส่วนตัวจากที่เคยนั่งมาจะชอบของ Japan Airlines มากที่สุด เพราะใส่สบายหูจริง ๆ

มาถึงกระเป๋า Aminities กันบ้างครับ บอกได้เลยว่าเที่ยวบินนี้โชคดีสุด ๆ เพราะการบินไทย เพิ่งเปิดตัว Aminities ใหม่ร่วมกับ Jim Thompsons ได้เพียงแค่ 2 วัน เราก็เป็นผู้โดยสารกลุ่มแรกที่ได้เลย โดยด้านในจะประกอบไปด้วย ชุดแปรงฟัน ปกติ (ที่ไม่ได้ถ่ายในภาพนี้) และมีขอแบรนด์จะเป็น ถุงเท้า, ผ้าปิดตา และ ครีมทามือ, ลิปมัน, และน้ำมันอโรมา จากแบรนด์ Erb ครับ ซึ่งดีมาก ๆ ชอบมาก ๆ และแสดงออกถึงความเป็นไทยมาก ๆ ถือว่าฟินสุด ๆ สำหรับชุดนี้

ส่วนเมนูในวันนี้ที่ทางลูกเรือได้เดินมาสอบถามก่อนแล้วว่าจะทานอะไร ก็ตามที่เห็นในภาพเลยครับ โดยมีสามตัวเลือกคือแบบญี่ปุ่น แบบฝรั่ง และแบบไทย ผมเลือกเป็นแบบฝรั่งไปก็คือเป็นแซลม่อนย่างครับ

จิบไวน์จนหมดแก้วพอดี กัปตันก็ประกาศว่าตอนนี้สามารถ Push-back เพื่อเริ่มต้นออกเดินทางได้แล้ว ลูกเรือก็รีบเดินจัดแจงเก็บของตรวจความเรียบร้อย พร้อมออกเดินทางกันในวันนี้แล้วครับ เก็บภาพบรรยากาศด้านนอกมาให้ดูบ้าง วันนี้นั่งอยู่ Cabin หน้า Engine เลยจะอยู่หลังไปหน่อย ใครชอบวิว Engine อาจจะปวดคอหน่อยครับ

หลังจากที่ไต่ระดับขึ้นเรียบร้อยแล้ว สัญญาณรัดเข็มขัดดับลง ก็ได้เวลานั่งตามสบายกันแล้วครับ ต้องบอกว่าที่นั่งของการบินไทยแบบมีสอดขาแบบนี้จริง ๆ แล้วมันลึกมากนะครับ ผมสูง 175 สอดขาเข้าไปนั่งสบาย ๆ ขายังไงก็ไม่ชนครับ เหลือพื้นที่อีกเยอะ ๆ ดังนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

หลังจากนั้นลูกเรือก็จะเริ่มให้บริการของว่างระหว่างรอมื้ออาหารครับ วันนี้ยกมาให้เป็นถั่วต่าง ๆ กับเมนูคานาเป้เล็ก ๆ เป็นกุ้งราดน้ำยำครับ ผมขอแชมเปญต่อพร้อมกับน้ำ Sparking Water อีกหนึ่งแก้ว

หลังจากนั้นเมนู Starter ก็มาครับ เป็นแซลม่อนรมควันตกแต่งมาอย่างสวยงาม พร้อมกับขนมปังให้เลือกทาน ระหว่างนี้แชมเปญก็เติมกันต่อเรื่อย ๆ เลยครับ ไม่อั้น หมดก็เติม หมดก็เติม

หลังจากนั้นอาหารหลักก็มาครับ เป็นเสต็กแซลมอนมาพร้อมกับมันบด และมันฝรั่ง รสชาติถือว่าดีมาก อร่อยมาก อีกหนึ่งข้อสังเกตที่อยากชี้ให้เห็นคือ การบินไทยในเที่ยวบินยาว ๆ แบบนี้เลือกที่จะเสิร์ฟอาหารมาเป็นคอร์ส ๆ ไม่จับทุกอย่างรวมกันในถาดเดียว ทำให้ได้ความรู้สึกของการบินในชั้น Premium มากขึ้่นครับ โดยลูกเรือจะคอยสังเกตว่าใครทานอะไรหมดแล้ว ก็จะยกจานถัดไปมาให้

จบจานหลักแล้วก็ยังมีชีสให้ต่อนะครับ เป็นชีสนานาชาติพร้อมกับผลไม้เป็นองุ่น อันนี้เริ่มอิ่มแล้วครับ บอกตรง ๆ ว่าทานไม่หมดเสียดายมาก หลังจากนั้นผมก็แจ้งลูกเรือว่าขอข้ามขนมหวาน (ที่วันนี้เป็นเค้กช็อกโกแลต) และขอไปรับเป็นชาไทยเฉาก๋วยเลย เป็นของหวานเบา ๆ พอ

อิ่มมากแล้ววันนี้ เลยจัดเฉาก๋วยในชาไทย เมนู Signature ของการบินไทยครับ รสชาติอร่อยมาก ๆ พอแค่นี้ก็อิ่มพร้อมนอนหลับแล้ว แต่ระหว่างนี้ถ้าใครที่ยังไม่อิ่มก็สามารถขอขนมหรืออาหารทานเล่นจากลูกเรือได้เรื่อย ๆ นะครับ ก็จะได้อานิสงส์จากคนกินน้อย ๆ แบบผมนี่แหละ อย่างน้อยวันนี้เค้กเหลือแล้ว 1 ชุด (ฮา)

อิ่มเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาจัดเบาะเป็นที่นอนครับ กดเอนนอนราบสุด 180 องศาแบบนี้เลย สบายมาก ๆ อย่างไรก็ตาม ในเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินกลางวัน จึงจะไม่มีผ้าปูรองนอนมาให้นะครับ แต่ผ้าห่มนวมยังเป็นผ้าห่มนวมคุณภาพดีมาก ๆ อยู่ แค่อาจจะรู้สึกผิวสัมผัสไม่นุ่มนิ่มเหมือนกับมีผ้ารองนอน

แวะมาชมห้องน้ำกันซักหน่อยครับ ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน ก่อนเข้านอนกัน ทางการบินไทยก็ได้จัดเตรียมน้ำหอมไว้ในห้องน้ำ พร้อมเครื่องใช้ต่าง ๆ เต็มที่ ใครที่ยังไม่อยากใช้ของจาก Aminiteis ที่ให้มา ก็สามารถเรียกขอจากลูกเรือบนเครื่องได้ครับ อ้อ ห้องน้ำนี้จะใช้เฉพาะผู้โดยสาร Business Class ในห้องโดยสารส่วนหน้า 6 คนเท่านั้นด้วยนะครับ

ผมหลับไปทั้งหมด 4 ชั่วโมงเต็ม ๆ ถือว่าไม่แย่เลยนะครับสำหรับเที่ยวบินกลางวันที่ก็ไม่รู้จะให้ทำอะไร ตื่นมาก็ได้พบกับความน่ารักของลูกเรือเล็ก ๆ น้อย ๆ คือระหว่างนอน ลูกเรือได้เดินเอาช็อกโกแลตกับน้ำมาวางไว้ให้ พอตื่นมาก็อยู่สภาพนี้แล้ว ซึ่งพอผมตื่นขึ้นมาลูกเรือก็รีบเดินมาถามว่าต้องการอะไรมั้ย พร้อมเอาผ้าร้อนมาให้บริการ

หลังจากนั้นลูกเรือก็แจ้งครับว่า วันนี้ก่อน Landing มีของว่างให้ทานเป็นไอศกรีมมะม่วง ซึ่งผมก็รับมา หน้าตาออกมาดูดีมากเลยทีเดียว อร่อยครับ จัดมาให้ในจานสวยงาม โดยผมตื่นมาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องจะลงจอดพอดีครับ

ทานเสร็จก็ได้เวลาเครื่องลงพอดีที่สนามบินสุวรรณภูมิ ลูกเรือจัดการเดินมาช่วยเก็บสิ่งของต่าง ๆ ดูเรื่องความปลอดภัย ก่อนที่เครื่องของเราจะบินลงที่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัยครับ

หลังจากที่ลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้ว พี่หัวหน้าลูกเรือก็ใจดีมากครับ เดินเอาน้ำแร่ Acqua Panna ขวดใหญ่จากชั้น First Class มาให้ พร้อมชวนไปถ่ายรูปดูที่นั่ง First Class รุ่นใหม่ของการบินไทยด้วย ไม่รู้จะเอ็นดูไปไหน

ภาพด้านบนนี้คือทดลองนั่งที่นั่ง Fist Class แบบใหม่ของการบินไทยครับ กว้างใหญ่ไพศาล นั่งสบาย ปรับเอนได้นอนราบ แต่สีดูหรูหราทองคำเกินไป ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ ชอบแบบสีเรียบ ๆ หรือโทนเข้มมากกว่า (บ่นไปงั้นแหละครับ คงไม่ได้นั่งบ่อย ๆ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะลองเก็บไมล์มานั่งดู)

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับบ้านครับ โดยกระเป๋าของเราจะได้ติด Tag Business Class และ Priority Bag ตามปกติ มาเร็วกว่าเพื่อน และสามารถเดินตัวปลิวออกไปได้เลย

สรุปสิ่งที่ชอบใน Business Class ของการบินไทยรอบนี้

ให้นึกข้อเสียให้ติวันนี้ก็คงยังนึกไม่ออก ไม่รู้เพราะว่าไม่ได้คาดหวังตั้งแต่แรกหรือเปล่านะครับ แต่ต่อให้คาดหวังมันก็ตรงกับความคาดหวัง โดยเฉพาะการให้บริการอาหารในลักษณะที่ไม่รวมทุกอย่างมาในถาดเดียว ที่ทำให้รู้สึกว่ามันพิเศษมาก ๆ เหมือนการทานอาหารในร้านอาหารมากกว่าบนเครื่องบิน กับตัวเลือกของอาหารที่ค่อนข้างหลากหลายมาก ๆ

อีกอันก็คือ Aminities ที่การบินไทยดูเหมือนจะเข้าร่องเข้ารอยแล้วว่า หันมาใช้ของไทย ๆ ดีกว่า ทั้งดูเรียบหรูและเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ กับสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความน่ารักของพี่ ๆ ลูกเรือทุกคน ที่ให้บริการได้อย่างอบอุ่นและน่าประทับใจมาก ๆ

สุดท้าย ก็หวังว่าจะได้กลับมาใช้บริการเที่ยวบินระยะกลาง ๆ ถึงระยะไกลของการบินไทยอีกครั้งนะครับ