วันนี้ผมเดินทางไปยัง Osaka ประเทศญี่ปุ่นด้วยเที่ยวบิน XJ612 จากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยโดยสารชั้น Business Class ซึ่งทาง Thai AirAsia X ทำการตลาดในชื่อ Premium Flatbed โดยมีจุดขายตามชื่อก็คือที่นอนที่สามารถปรับนอนได้ราบ (ที่ในความเป็นจริง จะไม่ได้ราบไปกับพื้น แต่จะเป็นในลักษณะที่เรียกว่า Angled Flat แทน) โดยต้องบอกก่อนว่า ผมเองไม่เคยโดยสาร Business Class ของ Low Cost Airline มาก่อน แต่จากการที่ได้ดูรีวิวต่าง ๆ มาก่อนหน้า ก็ตื่นเต้นที่จะได้มาลอง
โดยในเที่ยวบินนี้ ผมซื้อตั๋วโดยสารมาในราคาเพียงแค่ 12,000 บาทเท่านั้น (ขาเดียว) ถือว่าเป็นดีลที่ดีมาก ๆ คุ้มค่ามาก ๆ โดยในช่วงวันและเวลาที่ทำการจองนั้น ราคาก็จะเทียบเท่ากับ Economy ของ Full Service เลย แต่เนื่องจากไม่เคยลองมาก่อนเลยตัดสินใจมาลองดู
โดยราคาในชั้น Business Premium Flat Bed นี้เราจะได้สิทธิ์ของ
- อาหารร้อน และน้ำเปล่า 1 มื้อ โดยน้ำเปล่าจะสามารถขอได้เรื่อย ๆ ไม่อั้น แต่จะไม่สามารถขอน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้
- ที่นั่งที่สามารถปรับนอนได้ในลักษณะ Angled Flat
- จะได้สิทธิ์เทียบเท่าผู้โดยสารชั้น Business Class และสามารถใช้ Fast Track ของสนามบินสุวรรณภูมิได้
- สามารถโหลดกระเป๋าได้น้ำหนัก 20 กิโลกรัม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งสิทธิ์นี้ ผู้โดยสารชั้นประหยัดจะต้องซื้อเพิ่มครับ
อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่ามีสิทธ์บางส่วนที่ขาดหายไป เช่น เลาจน์ หรือเคาเตอร์เช็คอินแบบพิเศษ (ซึ่งปกติทาง AirAsia X จะอนุญาตให้ผู้โดยสารเช็คอินและโหลดกระเป๋าด้วยระบบอัตโนมัติได้อยู่แล้ว จึงอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่) แต่ทาง AirAsia X ก็ขายบริการเสริมที่ชื่อว่า Red Carpet ในราคา 900 บาท (ณ วันที่เขียนบทความนี้) เพื่อขยายสิทธิ์ให้ผู้ที่ซื้อบริการเสริมดังกล่าวสามารถเข้าใจงาน Coral Business Class Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิได้ และสามารถเช็คอินในช่องพิเศษได้ ซึ่งสิทธิ์นี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องบินในชั้น Business Class เท่านั้นนะครับ บินในราคาไหน ชั้นโดยสารไหน ก็สามารถซื้อบริการ Red Carpet ได้
ในแง่ของความคุ้มค่า ใครที่ไม่ได้ถือบัตร Priority Pass จะถือว่าคุ้มค่าที่สุด เพราะ 900 บาท ถือว่าถูกกว่าราคาเข้าใช้บริการเลาจน์ที่ตั้งโดย Coral พอสมควร ดังนั้น แค่เข้าเลาจน์ก็คุ้มแล้วครับ
รีวิวเที่ยวบิน XJ 612 บน Thai AirAsia X Premium Flatbed
เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณสามทุ่ม ซึ่งเที่ยวบินนี้มีกำหนดเดินทางออกตอน 12:55 (รุ่งเช้าวันถัดไป) ดังนั้นใครจองเที่ยวบินนี้วันและเวลากันให้แม่น ๆ นะครับ หลังจากที่ลงจากรถ ก็เดินเข้าไปเช็คอินที่เคาเตอร์ AirAsia X Red Carpet ได้เลย โดยจำนวนคิวที่ต้องรอทั้งหมดเป็น 0 คิวเลยครับ
หลังจากนั้น พนักงานก็จะจัดการโหลดกระเป๋าให้ อย่างไรก็ตามพนักงานจะไม่ได้แจ้งสิทธิ์เรื่อง การใช้งาน Fast Track ให้ อาจจะต้องใช้ไหวพริบส่วนตัวเอง (ถ้าใครที่ไม่รู้นี่ไปต่อคิวเข้าช่องปกติ เหนื่อยเลยครับ) แต่จะมีการติดสติกเกอร์ Red Carpet มาในบัตรโดยสาร สำหรับนำไปยืนยันกับเลาจน์ว่าเราเป็นผู้โดยสาร Red Carpet ของ AirAsia X นั่นเอง
และที่สำคัญ เราเดินทางกันในช่วงเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งสนามบินสุวรรณภูมิ ได้เปิดให้ใช้บริการ Sat-1 อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังใหม่เรียบร้อย ทำให้เกตวันนี้จะเป็นเกตที่ตัวอักษรนำหน้าด้วย S เห็นแบบนี้ไม่ต้องงครับ ให้เดินเข้าช่องปกติเหมือนเดินทางไปต่างประเทศ แล้วนั่งรถไฟไปยังอาคารแห่งใหม่ หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าออกเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยช่อง Fast Track จะตั้งอยู่บริเวณเคาเตอร์เช็คอิน Business Class และ First Class ของการบินไทยที่เคาเตอร์เช็คอินโซน A ฝั่งซ้ายของสนามบินเมื่อหันหน้าเข้าอาคารครับ
เดินเข้าช่อง Fast Track วันนี้คนน้อยครับเนื่องจากบินเที่ยวบินดึกพอสมควร ทำให้สามารถผ่านด่านทุกสิ่งอย่างมาได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีเท่านั้น ถ้าดูจากราคาตั๋วแล้ว น่าจะเป็นราคาตั๋วที่ประหยัดที่สุดที่ยังสามารถใช้ช่อง Fast Track ได้เลยครับ
ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย ก็จะออกมายังทางออกฝั่งซ้ายที่ตรงนี้ ถ้าใครที่บินการบินไทย Business Class ก็จะต้องลงบันไดไปเข้าเลาจน์ Royal Orchid Lounge นั่นแหละครับ แต่ในวันนี้ เราจะไปเข้าเลาจน์ของ Coral Business Class Lounge กัน ซึ่งก็อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน (ยัง) ไม่ต้องเดินไกลครับวันนี้
เมื่อเดินทางมาถึงเลาจน์ ก็สามารถแจ้งพนักงานได้เลยว่ามาใช้สิทธิ์ Red Carpet ของ AirAsia X พนักงานก็จะนำบัตรโดยสารไปจดรายชื่อ ก่อนที่จะให้เราสามารถเข้าใช้เลาจน์ได้ตามปกติ
เข้ามาตอนประมาณสี่ทุ่มบรรยากาศจะเงียบเหงาหน่อยครับ แต่ก็จะดีเพราะสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจตัวเอง ใครที่เคยใช้บริการคุณป้าที่คอยเดินมานวด คอ บ่า ไหล่ ให้ ก็น่าจะเห็นคุณป้าเดินไปเดินมา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Coral Lounge ทั้งฝั่งในประเทศและระหว่างประเทศ สามารถยกมือเรียกคุณป้ามานวดได้สบายเลยครับไม่ต้องรอคิวใคร
นอกจากโซนปกติแล้ว ทาง AirAsia X ยังได้จัดโซนพิเศษไว้ใน Coral Lounge ด้วยนะครับ สำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการ AirAsia X Red Carpet โดยเฉพาะ ซึ่งอย่าลืมว่า ใครที่บินในชั้น Economy ก็สามารถซื้อสิทธิ์มาใช้บริการได้ในราคาแค่ 900 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งในโซนนี้ก็จะมีเฉพาะผู้โดยสาร Red Carpet มาใช้บริการครับ
นอกจากนี้แล้ว ทาง AirAsia X ยังได้มีการให้บริการเครื่องดื่ม Siganture ด้วย (ที่จริง ๆ ก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากหรอกครับ เพราะสามารถสั่งอาหารเครื่องดื่ม หรือตักจากบริเวณให้บริการอาหารได้อยู่แล้ว) ซึ่งผมไม่ได้สั่งเครื่องดื่มที่ว่ามาก็เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดู และไม่ได้เข้าไปใช้งานห้องดังกล่าวด้วย (ฮา)
Coral Lounge ขึ้นชื่อความหลากหลายของอาหารอยู่แล้วครับ ในวันนี้มีอาหารให้เลือกหลากหลายทั้งของกินเล่น ของกินจริงจัง ของแกล้มเบียร์ วันนี้ผมเลือกทาน หมึกผัดผงกะหรี่ราดข้าว พร้อมกับตักส้มตำจากบาร์ส้มตำ (ที่ให้เราตำเอง) มาทานคู่กับเบียร์สด โดยมีท้องแซลม่อนทอดมาทานเล่น ๆ ระหว่างนั่งรอด้วยครับ
จะเห็นว่าอาหารที่ให้บริการในเลาจน์แห่งนี้น่าทานมากเลยทีเดียว ถือว่าคุ้มค่ากับ 900 บาทที่จ่ายไปแหละครับได้ขนาดนี้ (เนื่องจากสิทธิ์ Priority Pass ของบัตรเครดิตผมนั้นมีจำกัด เลยขอเก็บไว้ใช้ตอนบิน Economy ดีกว่า)
กินอิ่มแล้ว พักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ต้องเผื่อเวลาล่วงหน้าซักประมาณ 15 นาทีก่อน Boarding เพื่อเดินทางไปยังอาคาร Sat-1 ของสนามบินสุวรรณภูมิครับ วันนี้เลยออกจาเลาจน์ Coral เร็วหน่อย หลังจากนั้นก็เดินมายังจุดขึ้นรถไฟได้เลย
อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่อง Sat-1 มากนักสำหรับบทความนี้เพราะเน้นไปที่รีวิว Business Class ของ AirAsia X เป็นหลักก่อนครับ แต่เล่าบรรยากาศของ Sat-1 ช่วงประมาณเที่ยงคืนก็ค่อนข้างเงียบเหงา แต่โชคดีที่ร้านค้าต่าง ๆ เปิด 24 ชั่วโมง ทำให้ดูไม่ร้างมาก ส่วนตัวเคยเดินทางในสนามบินยุโรปช่วงเวลาประมาณนี้ เงียบเหงากว่านี้เยอะครับ
ในการรอขึ้นเครื่องบินที่ Sat-1 นี้ ลักษณะการเข้า Gate จะเป็น Open Gate กล่าวคือ จะไม่ได้มีการกั้นโซนชัดเจน ผู้โดยสารระหว่าง Gate ต่าง ๆ จะสามารถเดินไปมาหากันได้ ไปร้านค้าได้ ไปเข้าห้องน้ำได้สะดวก ซึ่งส่วนตัวชอบแบบนี้มากกว่าครับ แค่มาขึ้นเครื่องให้ทันก็พอ
วันนี้มีเหตุการณ์ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ เนื่องจาก Gate ที่เราต้องขึ้นเครื่องถูกเปลี่ยน จากปัญหาตัว Jet Bridge หรืองวงช้าง ไม่สามารถใช้งานได้ จึงแทบจะต้องย้าย Operation ทั้งหมดไปยัง Gate ใหม่ วุ่นวายมาก เครื่องบินที่ Taxi มาจอดที่ Gate เรียบร้อยแล้ว ก็ต้อง Push ไปจอดที่ Gate ใหม่ เสียเวลาไปกว่า 45 นาทีเลยครับ
เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คนที่เดือดร้อนไม่แพ้กับเราก็คือลูกเรือครับ เพราะต้องทำงานเยอะขึ้น แต่ได้ค่าจ้างเท่าเดิมตามเวลาที่บิน ดังนั้นอย่าไปโวยวายหรือเหวี่ยงใส่ลูกเรือครับ ไปเหวี่ยง AOT ดีกว่า (ฮา)
จนสุดท้ายเวลาผ่านไป ก็สามารถเดินขึ้นเครื่องได้ในที่สุด ซึ่งตามสิทธิ์ของผู้โดยสารชั้น Business Class และ Red Carpet ก็จะได้เรียกขึ้นเครื่องก่อน เดินเลี้ยวซ้ายเข้าโซน Business Class ได้เลย
และนี่คือที่นั่ง Business Class ของ AirAsia X ครับ จัดแบบ 2 2 2 โดยจะมีแค่ 2 แถวเท่านั้น ได้แก่ A และ B ทำให้จำนวนผู้โดยสารทั้ง Cabin ของ Business Class นี้จะมีเพียงแค่ 12 คนเท่านั้น ที่นั่งวันนี้ของผมเป็นที่นั่งหน้าสุดแถวแรก 1A ครับ
ทาง AirAsia X จะจัดน้ำเปล่าไว้ให้ 1 ขวด ซึ่งสามารถขอเพิ่มได้เรื่อย ๆ นะครับ หลังจากนั้นลูกเรือก็จะเข้ามาทักทายและถามว่า จะรับอาหารที่สั่งไว้ช่วงไหน (หลังเครื่องขึ้นทันที หรือ ก่อนเครื่องลง) เนื่องจากวันนี้บินไฟลต์ดึก ผมจึงขอให้ลูกเรือนำอาหารมาให้ช่วงประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องลงตอนเช้าที่ญี่ปุ่นครับ
ที่นั่งด้านหน้าสุดหรือที่เรียกกันว่า Bulkhead นั้น ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ซึ่งจริง ๆ แนะนำสำหรับใครที่จะนั่ง Premium Flatbed Business ของ AirAsia X นะครับ เพราะช่วยเพิ่มพื้นที่ได้เยอะพอสมควรเลย เนื่องจากการจัดที่นั่งแบบ 2-2-2 ทำให้เราจะต้องเดินข้ามผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ข้างเราที่อาจจะไม่รู้จักกัน เวลาไม่มีเบาะของผู้โดยสารข้างหน้ามากั้นก็จะเดินได้สะดวกกว่านั่นเองครับ
สุดท้าย ต้องบอกว่า AirAsia X Business นี้จะไม่มีจอความบันเทิงให้นะครับ แต่สามารถขอ iPad จากลูกเรือพร้อมหูฟังเปิดหนังดูได้ ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ช่างมันเถอะครับ นอนดีกว่า โดย AirAsia X จัดผ้าห่มนวมคุณภาพดีพร้อมกับหมอนไว้ให้เรียบร้อย ไม่ต้องซื้อเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ที่นั่งของเราก็จะยังมีปลั๊คให้ให้บริการแยกทั้งสองคน ไม่ต้องแย่งกันใช้ ตรงกลางมีที่วางพวกแก้วน้ำหรือของใช้ สะดวกดีเวลาชาร์โทรศัพท์มือถือ ส่วนโต๊ะทานข้าวก็จะเก็บอยู่ในที่วางของตรงกลางที่แหละครับ
หลังจากที่ Boarding เรียบร้อย เครื่องก็พร้อมออกเดินทางไปยังสนามบิน Kansai ณ เมือง Osaka ประเทศญี่ปุ่น ในบรรยากาศฝนตกที่ไทย พายุเข้า บรรยากาศแบบนี้น่านอนมากครับ
เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งห้าสู่ Osaka ใช้เวลาบินทั้งหมด 5 ชั่วโมง 30 นาทีครับวันนี้ เมื่อเครื่องขึ้นเรียบร้อยก็ได้เวลานอนพักผ่อน เอนเบาะลงให้สุด และนอนได้เลยสบายมาก ไม่ต้องยุ่งกับใครแล้วครับ
และเนื่องจากเป็นไฟลต์ดึก จึงอาจจะไม่ได้ถ่ายรีวิวว่าปรับนอนราบสุดเป็นยังไงให้ดู เพราะต่างคนก็ต่างนอน เลยเก็บบรรยากาศในห้องโดยสารชั้น Business Class มาฝากครับ
ผมนอนหลับไปได้ 4 ชั่วโมงเต็ม ๆ ถือว่าไม่แย่เลยสำหรับการนอนบนเครื่องบิน แม้จะไม่ได้สบายเท่านอนราบบน Flatbed จริง ๆ ของ Business Class สายการบินอื่น ๆ ที่เป็น Full Service แต่อย่าลืมว่านี่คือการบินมาญี่ปุ่นในราคาเพียงแค่หนึ่งหมื่นกว่าบาทเท่านั้น แถมได้นอนราบ เรียกว่าคุ้มสุด ๆ แหละครับ
และแน่นอนว่าข้อเสียของการบิน Low Cost คือการที่เราจะไม่ได้รับ Aminities อะไรต่าง ๆ ให้เลย ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวส่วนบุคคลแล้วครับ ก่อนที่จะขึ้นบิน ผมได้ขอแปรงสีฟันยาสีฟันมาจากเลาจน์เรียบร้อย ซึ่งบนเครื่องจะไม่ได้มีให้นะครับ ตื่นมาก็ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน ครีมอะไรก็เตรียมาเองเถอะครับ
ก่อนเครื่อง Landing ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ลูกเรือก็ได้นำเอาอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟให้ วันนี้ผมสั่งผัดไทยกุ้งห่อไข่ครับ รสชาติดีใช้ได้ กุ้งแกะมาให้เรียบร้อนทานสะดวกไม่เลอะมือ รสชาติถือว่าโอเคเลย แต่ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาหรอกนะครับ ลืม ๆ มันไปว่าเรากำลังบินในชั้น Business Class อยู่
โดยในช่วงนี้ ใครที่อยากทานอะไรเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งลูกเรือได้ (รับชำระแต่เงินสด ไม่รับบัตรเครดิต) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีจำหน่ายตามปกติครับสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
40 นาทีก่อนลงจอด ก็ได้เวลาเปิดม่าน ชมวิวญี่ปุ่นช่วงก่อนลงจอดกันครับ ลูกเรือจัดการเก็บอุปกรณ์เก็บขยะต่าง ๆ พร้อมนำเครื่องลงที่สนามบิน Osaka Kansai ณ เมือง Osaka ประเทศญี่ปุ่น
หลังจากนั้นเครื่องก็ลงจอดเรียบร้อยที่สนามบิน Osaka Kansai ปลอดภัย ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 5 ชั่วโมงกับอีก 40 นาที แต่จะ Delay จากเวลากำหนดถึงจริงเนื่องจากปัญหาที่สุวรรณภูมิที่เล่าไปอยู่ที่ประมาณ 45 นาทีเลยครับ
เนื่องจากบินในชั้น Business ทำให้สภาพหลังจากเดินทางไม่แย่มาก หลับสบายพร้อมทำงานต่อได้ทันที ในราคาแค่หมื่นกว่าบาทเท่านี้ ใครมีโอกาสได้ดีลราคานี้มาก็แนะนำครับ คุ้มค่าคุ้มราคาทุกบาท แต่ต้องอย่าลืมว่ายังไงมันก็คือ Business Class ของ Low Cost การบริการต่าง ๆ จะมีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะ ไม่ต้องคิดมากและนอนหลับให้สบายเป็นพอครับ
ทั้งนี้ผมอาจจะมีข้อสังเกตที่เป็น Tips and Tricks ให้กับการเดินทางในชั้น Business Class ของ AirAsia X มาเล่าให้ทุกคนฟังก่อนจบบทความนี้ซักหน่อย
- อยากให้ลองเช็คราคาดี ๆ ครับ เพราะพอเป็น Low-Cost ราคาจะค่อนข้างเหวี่ยงขึ้นลงหน่อย ถ้าได้ดีลดี ๆ ในราคาประมาณหมื่นนึงก็จัดเลย
- ถ้าบินช่วงกลางวันที่ไม่ได้นอน ผมก็จะยังคงเลือกบิน Economy ของ Full Service อยู่ดีเนื่องจากการให้บริการที่ครบครันกว่า อาหารการกินที่สบายกว่า และสามารถเก็บไมล์ได้ไปยังค่ายที่เราสะสม
- แต่ใครที่มั่นใจว่าอยากนอน ขอนอนยาว ๆ ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่แย่เลย
- บริการ Red Carpet ที่ต้องซื้อเพิ่ม คุ้มมาก ๆ แค่เข้าเลาจน์ก็คุ้มแล้วครับ
นี่จึงเป็นรีวิวแบบกลาง ๆ อาจจะไม่ได้อวยจนเกินไป และข้อย้ำว่าถ้าไม่ติดเรื่องนอน ก็ขอบิน Economy Full Service ดีกว่าครับ
ผมจะได้บินในเที่ยวบินไหนอีก พบกันในเที่ยวบินต่อไปครับ