September 27, 2022

หนึ่งในตลาดที่น่าสนใจสำหรับการให้บริการของสายการบินก็คือคลาสอย่าง Premium Economy ซึ่งเป็นกึ่งกลางระหว่าง Economy Class ธรรมดา กับ Business Class โดยที่ราคายังสามารถเอื้อมถึงได้อยู่ วันนี้ผมพามารีวิวโปรดักส์ Premium Economy ตัวใหม่ของ Swiss Internatioanal Airlines ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติของสวิสเซอร์แลนด์ โดยวันนี้ผมเดินทางจาก กรุงเทพมหานคร ไปยังเมืองซูริก เพื่อเดินทางต่อไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ซึ่งในเที่ยวบินนี้ เป็นเที่ยวบินแบบยาว ๆ รวมระยะเวลาทำการบินทั้งสิ้น 11 ชั่วโมง ทำให้เรียกได้ว่า สามารถตัดสินกันได้เลยว่าการนั่ง Premium Economy บน Swiss Air นี้ ไหวหรือว่าไม่ไหว ก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปยังยุโรป เพราะเมื่อถึงยุโรปแล้ว จะต่อเครื่องไปไหนก็สะดวกสบาย

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าทาง Swiss Air เพิ่งเปิดให้บริการในชั้น Premium Economy ในช่วงกลางปี 2022 ที่ผ่านมานี้เอง และผมเองก็โชคดีมากที่ได้ลองใช้บริการในช่วงแรก ๆ ดังนั้น ก็ต้องเกริ่นไว้ก่อนว่า ทุกอย่างจะค่อยข้างใหม่ และบริการจะค่อนข้างไม่แย่ แต่พอเวลาผ่านไปก็ต้องรอดูกันครับว่าจะรักษามาตรฐานได้มากแค่ไหน

ก่อนที่จะไปชมรีวิวกัน ขอเล่ารายละเอียดเชิงเทคนิกของ Premium Economy ของ Swiss Air กันเสียก่อน ทาง Swiss Air นั้น มีเครื่องบินที่ใช้ให้บริการหลัก ๆ คือ Boeing 777-300ER (77W) ซึ่งจะมีให้บริการตั้งแต่ชั้น First Class, Business Class, Premium Economy Class และ Economy Class ธรรมดา ทำให้เรียกได้ว่าเป็นเครื่องบินที่มีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง (ฮา) โดยที่นั่งชั้น Premium Economy จะมีทั้งหมด 24 ที่นั่งเท่านั้น โดยตั้งอยู่ในชั้นโดยสาร Economy ปกติ แต่อยู่หน้าสุดก่อนที่จะกั้นม่านไปเป็น Business Class นั่นเอง

เที่ยวบิน LX181 กรุงเทพ – ซูริก บน Swiss Premium Economy

เที่ยวบินของเราวันนี้เป็นเที่ยวบิน LX181 โดยออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ 12:45 มุ่งหน้าไปสนามบินซูริก ถึงเวลา 19:35 เป็นช่วงเย็น ๆ พอดี ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 11 ชั่วโมงโดยประมาณ

โดยผมเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลาประมาณสิบโมงเพื่อเช็คอินและโหลดกระเป๋า ซึ่งในชั้นนี้ เราจะสามารถโหลดกระเป๋าได้สูงสุดถึง 30 กิโลกรัมเลยทีเดียว เรียกได้ว่าใครจะซื้อน้ำหนักเพิ่ม ลองดูว่าเพิ่มคลาสอาจจะคุ้มกว่าด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ในชั้นนี้ “จะไม่ได้มีเลาจน์ให้บริการ” แตกต่างจาก Premium Economy สายการบินอื่นที่จะสามารถใช้บริการเลาจน์ได้ด้วย (ยกตัวอย่างเช่น Japan Airline ที่ผมเคยรีวิวไป) อย่างไรก็ตาม ทาง Swiss ระบุว่าเราจะสามารถซื้อตั๋วสำหรับใช้บริการเลาจน์ที่ซูริกและเจนีวาได้ในราคาพิเศษ แต่เนื่องจากในรอบนี้ เราเดินทางจากสุวรรณภูมิ และขากลับผมเดินทางด้วยสายการบิน Lufthansa จึงอดไปใช้บริการ

ดังนั้นใครที่จะเดินทางในชั้นนี้ของ Swiss ก็ช่วยเหลือตัวเองนะครับ ใช้สิทธิ์ Star Alliance Gold หรือ สิทธิ์จากบัตรเครดิต Priority Pass, Lounge Key กันให้เต็มที่

ในขั้นตอนการ Boarding จะมีการเรียก Boarding เป็นกลุ่ม โดยไล่ลำดับจากผู้โดยสารชั้น First Class, Business Class และ Premium Economy หลังจากนั้นจะเป็นกลุ่มของผู้โดยสาร Economy ปกติ

หลังจาก Boarding ลูกเรือจะนำ Welcome Drink มาให้บริการ ซึ่งทาง Swiss จะเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่ม Signature ก็คือน้ำโซดาเบอร์รี่ สีชมพู รสชาติก็จะคล้าย ๆ ชากุหลาบ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แต่จะมีความซ่าเป็น Sparkling Water ซึ่งอร่อยดีครับ ชอบ

ทีนี้เรามาดูที่นั่งกันดีกว่าครับ อย่างที่บอกไปว่าจะมีชั้น Premium Economy เพียงแค่ 24 ที่นั่งเท่านั้น โดยจัดแถวแบบ 2-4-2 ใครที่มาด้วยกันน่าจะชอบ ที่นั่งของผมในวันนี้เป็น 21A ริมหน้าต่างครับ

สำหรับ Amenities ต่าง ๆ ที่ทาง Swiss มีมาให้ก็ได้แก่

  • หมอนอิง หรือหมอนหนุนหัว
  • ผ้าห่ม
  • หูฟังแบบครอบหูซึ่งเก็บเสียงได้ดี แต่ไม่ได้เป็น Active Noise Caneclling จะเป็นแบบเก็บเสียงธรรมดา (ซึ่งผิดหวังครับ)
  • เครื่องใช้ในเครื่องบิน ซึ่งประกอบไปด้วยแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าสำหรับปิดตา โดยใส่มาในแพคเกจที่ทาง Swiss เรียกว่า Sustansible Aminities คือสามารถย่อยสลายได้ ทำจากกระดาษนั่นเองครับ

เรียกได้ว่า ไม่ได้มากไปและไม่ได้น้อยไป ถือว่ากลาง ๆ อยู่ในระดับที่พอรับได้ หลังจากที่ Boarding เรียบร้อยแล้ว เครื่องก็บินขึ้นพาเราเดินทางไปยังดินแดนแห่งเทือกเขาแอลป์

หลังจากที่เครื่องขึ้นเรียบร้อยแล้วเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นลูกเรือก็จะเริ่มให้บริการอาหารชุดแรก ซึ่งเมนูอาหารของทาง Swiss Premium Economy จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 ตัวเลือกด้วยกัน (จากปกติที่จะมีแค่สอง) ซึ่งวันนี้ผมเลือกเป็น เนื้อตุ๋นซอสไวน์แดงเสิร์ฟกับมันฝั่งบด ส่วนเครื่องเคียงจะเป็นสลัด, ชีสเพลต และปิดท้ายด้วยของหวานครับ

พูดถึงเรื่องเครื่องดื่มกันเล็กน้อย ทาง Swiss ก็ให้บริการเครื่องดื่มธรรมดา ๆ ทั่วไป ๆ นั่นแหละครับ โดยในส่วนของไวน์จะมีให้เลือกเป็น White Wine และ Red Wine วันนี้ผมเลือกทานอาหารพร้อมไวน์แดงที่ให้มาในขวดเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ น่ารักแบบนี้

จะสังเกตว่าทาง Swiss ยกระดับการให้บริการด้วยการใช้เครื่องทานข้าวเป็นกระเบื้องทั้งหมด รวมถึงแก้วน้ำก็เป็นแก้วจริง ๆ ซึ่งอยากจะกราบมาก ส่วนตัวผมเคยนั่ง Premium Economy ของ Japan Airline ที่ลงทุนเสิร์ฟแชมเปญในเที่ยวบิน แต่ดันตกม้าตายด้วยการเสิร์ฟในแก้วพลาสติกซะงั้น

หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาปิดไฟ พักผ่อนกันในห้องโดยสาร โดยเหลือเวลาเดินทางกันอีกยาว ๆ 9 ชั่วโมงครับ

ที่นั่งของ Swiss Premium Economy จะปรับแบบเลื่อนมาข้างหน้า ดังนั้นผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังเราจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเลื่อนเก้าอี้ของเราด้วยครับ ส่วนองศาการเอนจะได้ประมาณนี้ และสามารถดึงที่รองน่องออกมาได้

ในเรื่องของความกว้างของที่บอกได้เลยว่าแคบไปนิดนึง แม้จะเทียบด้วยสัดส่วนของคนเอเชียอย่างผมก็ตาม ก็พบว่ารู้สึกตัน ๆ เหมือนกัน ยิ่งพอมีที่วางแขนแบบที่ไม่สามารถยกขึ้นได้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าที่นั่งแคปลงไปอีก ไม่เป็นไรครับ พักผ่อน อย่างน้อยก็ยังสบายกว่าในชั้น Economy ธรรมดา

พูดถึงเรื่องอินเทอร์เน็ตบนเที่ยวบินกันบ้าง ใน Swiss Air นั้น ปกติแล้วบนเครื่อง 777-300ER จะมีให้บริการอินเทอร์เน็ต โดยราคาและแพจเกจก็ไม่แย่  CHF 9.00 ได้ 20MB, CHF 19.00 ได้ 50MB และ CHF 39.00 ได้ 120MB ผมซื้อแพคเกจ 20 MB มา ซึ่งก็พบว่าใช้กับพวกแอพตระกูล Text Messaging ได้ดี แต่อาจจะต้องขยันคอยเปิดและปิดเฉพาะตอนที่จะใช้เพื่อไม่ให้พลาดไปโดนแอพที่ใช้ข้อมูลเยอะดูดไป

ระบบ Inflight Entertainment ของ Swiss นับว่าไม่แย่ แต่ก็ไม่อยากไปเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น เพราะก็จะมีหนังทั่ว ๆ ไป ในเที่ยวบินนี้ผมเลือกเปิด The God Father ทิ้งไว้เพลิน ๆ

ได้เวลาพักผ่อน การนอนบน Swiss Premium Economy นั้นไม่แย่ครับ แต่อย่างที่บอกไปว่าสุดท้าย Premium Economy ก็คือ Economy ดี ๆ นี่เอง การนอนถ้าพูดตรง ๆ ก็จะไม่ได้สบายขนาดนั้น เรียกได้ว่าถ้าอยากนอนราบสบายไม่มีทางสู้ Business ได้แน่ ๆ อยู่แล้ว

หลังจากที่นอนไปเกือบสองตื่นก็ได้เวลาอาหารเช้า ลูกเรือจะค่อย ๆ เปิดไฟสลัว ๆ ในห้องโดยสารคล้าย ๆ กับพระอาทิตย์กำลังขึ้นเพื่อปลุก โดยในรอบนี้อาหารที่ได้จะเป็นอาหารเย็น มีให้เลือกเมนูเดียวคือ “ผัดไท” ครับ มื้อนี้ผมสั่ง Prosecto มาดื่มเพิ่มเติม

หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงก่อนลง ลูกเรือก็เริ่มเดินเก็บของ บ่งบอกว่าเรากำลังจะลงจอด ณ สนามบิน ซูริก ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เรียบร้อย

จบทริปการเดินทาง 12 ชั่วโมงบนเครื่อง 777-300ER ในชั้น Premium Economy ของ Swiss Air ครับ

สรุปการเดินทาง

ต้องบอกว่าสำหรับเที่ยวบินนี้ สิ่งที่ชอบก็คือบริการเกี่ยวกับอาหารการกิน ที่เรียกได้ว่าเกินหน้าเกินตา Premium Economy เจ้าอื่น ๆ ไปเยอะเลย รวมถึงการให้บริการที่ทำให้รู้สึกพิเศษกว่า Economy ธรรมดาอย่าง Welcome Drink และตัวเลือกของอาหาร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังไม่ชอบก็คือเรื่องของที่นั่ง โดยรู้สึกว่าที่นั่งอาจจะไม่ได้สบายขนาดนั้น รวมถึงการนำเอาห้องโดยสาร Premium Economy มาไว้หน้าสุด โดยไม่มีม่านกั้นกับชั้น Economy ธรรมดา ก็ทำให้รู้สึกว่ายังอยู่รวมกับห้องโดยสารที่มีคนจำนวนมากอยู่

โดดยรวมแล้ว ก็ถือว่าโอเคสำหรับทริปการเดินทางระยะเวลาประมาณ 10-12 ชั่วโมงในเที่ยวบินยุโรป ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของใครหลาย ๆ คน เลยหยิบยกมาแชร์ให้ฟังครับ