November 9, 2022

วันนี้ผมมีโอกาสได้ลองนั่ง Lufthansa เป็น Business Class สั้น ๆ จากปารีส เดินทางไปยังกรุงมิวนิก เมืองหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย สมาพันธรัฐเยอรมัน ซึ่งในเที่ยวบินนี้นับว่าเป็นการบินสั้น ๆ เพื่อไปต่อเครื่องเดินทางกลับประเทศไทยอีกที ซึ่งหลังจากที่ได้นั่งแล้ว ก็ได้เปลี่ยนความคิดต่อการบินในยุโรปว่าจะต้องน่าเบื่อ กลายเป็นเที่ยวบินสั้น ๆ ที่สนุกสนานและประทับใจ

ในรอบนี้เรียกได้ว่าโชคดี เนื่องจากผมซื้อตั๋วมาใน Class แบบ Premium Economy หรือได้โค้ดเป็น W ทำให้เรียกได้ว่าเป็นตั๋ว Tier ที่ค่อนข้างสูง โอกาสที่จะทำ Paid Upgrade ในราคาที่สมเหตุสมผลก็เยอะกว่า 24 ชั่วโมงก่อนบิน ผมก็เข้าไปเช็คอินปกติ ปรากฎว่ามีขึ้น Offer Upgrade ในราคาเพียงแค่ 60 ยูโร (ประมาณ 2,200 บาท) ฟังอาจจะดูแพง แต่เมื่อเทียบกับการที่ไม่ต้องหาอาหารแพง ๆ ในสนามบิน เพราะสามารถเข้าเลาจน์ได้ แถมยังได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มขึ้น ได้รับการดูแลกระเป๋าแบบพิเศษ (ซึ่งภายหลังก็ค้นพบว่า ไม่ได้ต่างกันเลย) และได้ลิ้มรสเบียร์แบบไม่อั้นบนเครื่อง ก็เลยตกลงที่จะรับ Offer นี้ไป

เที่ยวบินวันนี้ที่ผมนั่งเป็น LH2229 ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 22 นาที

Lufthansa Business Class ในประเทศ ดีกว่าที่คิด

เริ่มต้นการเดินทางในเช้าที่รถโคตรติดจากใจกลางปารีส ไปยังสนามบิน Charles de Gaulle เพียงแค่การเดินทางไปสนามบินก็ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง เรียกได้ว่า นรกมาก ๆ

และความนรกยังไม่จบลงเท่านี้ เพราะหลังจากที่เช็คอินเรียบร้อยแล้ว โหลดกระเป๋าตามปกติ เราก็จะต้องผ่านด่านตรวจความปลอดภัยมหาโหดของ Charles de Gaulle ที่บอกว่ามหาโหดนี่ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ดุหรืออะไรนะครับ แต่เพราะว่าคิวนั้นยาวล้นขดไปขนมาในพื้นที่ประมาณหอประชุมขนาดใหญ่ ผมใช้เวลาไปกับการยืนรอทั้งสิ้น 1 ชั่วโมงเต็ม ๆ และตั๋ว Business Class ในมือนั้นช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะนี่คือปารีส ทุกคนเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือตัวเองแล้วกันครับ

หลังจากผ่านด่านมาได้มาได้ ผู้โดยสารชั้น Business ก็จะสามารถเข้าใจเลาจน์ในฝั่งเชงเกน ซึ่งมีเปิดให้บริการอยู่เจ้าเดียวคือเป็นเลาจน์ของทางสนามบินเอง ใช้บริการร่วมกันเกือบแทบทุกสายการบิน อย่างไรก็ตาม เลจน์นี้มีขนาดใหญ่ ให้บริการเฉพาะผู้โดยสารบัตรทอง, ผู้โดยสารชั้น Business Class, First Class, และสมาชิกบัตรต่าง ๆ เท่านั้น ไม่ได้เปิดให้จ่ายเงินเข้ามาใช้บริการ จึงคนไม่เยอะมากอย่างที่เห็นครับ

ซึ่งพนักงานต้อนรับก็น่ารักมาก ผมถามเธอไปว่าทางขึ้นเครื่องของผมนั้นอยู่ไกลหรือเปล่า เธอหัวเราะแล้วตอบกลับมาว่า เดินไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรครับ ผมเข้าไปในเลาจน์เพียงแค่ 10 นาทีก่อนที่จะ Boarding ซึ่งแน่นอนครับ ตอนนั้น รถติด ๆ มา ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า อะไรยัดได้ ยัดเข้าไปครับ ขนมปัง ชีส แฮม ไวน์ เอาให้พออยู่ท้อง (เพราะเดี๋ยวค่อยไปกินบนเครื่องต่อ)

จุดน่าสนใจของสนามบินในฝรังเศสคือทุกเลาจน์แทบจะเสิร์ฟเป็นแชมเปญ ในขณะที่ที่อื่นจะเสิร์ฟเป็น Sparking Wine อื่น ๆ ทั่วไป ซึ่งก็ไม่แปลกใจที่นี่ฝรั่งเศส ซึ่งผมก็ได้รินแชมเปญมา และสาบานได้ว่าในชีวิตไม่เคยกินแชมเปญหมดแก้วเร็วขนาดนี้มาก่อน Enjoy อาหารได้ไม่ถึง 10 นาที ก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง รีบหอบกระเป๋าเดินไปยัง Gate อย่างรวดเร็ว

เครื่องบินที่จะให้บริการเราในวันนี้เป็นเครื่องแบบ Airbus A320 ซึ่งก็เป็นเครื่องที่เราจะคุ้นเคยกัน เพราะสายการบิน Thai Smile, Bangkok Airways และ Thai AirAsia ก็ต่างใช้เครื่องบินรุ่นนี้ในการให้บริการ

ทีนี้มาดูการตกแต่งข้างในกันบ้างดีกว่าครับ เครื่อง A320 ของ Lufthansa นั้น จัดที่นั่งแบบ 3-3 ในชั้น Business Class และ Economy Class เพียงแต่ในชั้น Business จะประกอบไปด้วยแถวเพียงแค่ 7 แถว ตั้งแต่แถว 1 จนถึง 7 โดยจะมีการเว้นระยะที่ว่าง 1 ที่นั่งตรงกลาง คล้ายกับ Thai Smile บ้านเรานั่นเอง ส่วนที่นั่งจะเป็นที่นั่งเหมือน Economy Class ธรรมดาทั่วไป

ที่นั่งในวันนี้ที่ผมได้เป็น 1A ซึ่งเป็นที่นั่งที่อยู่แถวหน้าสุด หรือภาษาการบินจะเรียกกันว่า Bulkhead ซึ่งมักจะเป็นที่นั่งที่สบายที่สุด เพราะมีพื้นที่เหยียดขามากที่สุดในเครื่องบิน และที่สำคัญก็คือวันนี้แถว 1C ไม่มีคน ทำให้เรียกได้ว่า ผมได้ที่นั่งไปทั้งหมด 3 ที่นั่งเต็ม ๆ ได้แก่ 1A 1B (ซึ่งปกติไม่เปิดให้บริการอยู่แล้ว) และ 1C สามารถทำให้ที่นั่งริมหน้าต่างกลายเป็นโต๊ะอาหาร หรือไว้วางของได้ตลอดเที่ยวบิน

การตกแต่งภายในห้องโดยสาร ทาง Lufthansa เลือกใช้วัสดุสีออกแนวโลหะ ๆ มีความ Industrial และตัดด้วยโทนสีน้ำเงินที่อบอุ่น เข้มขรึม และจริงจัง ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ผมว่าสวยดี และถ้าออกแบบมาไม่ดี Design Language นี้อาจจะพังก็ได้ ซึ่งความรู้สึกผมว่ามันตรงข้ามกับ Thai หรือ Thai Smile ที่ออกแนว Smooth นอบน้อม หรือฝั่งเอเชียอื่น ๆ ที่จะเรียบไปเลย หรือของ Emirates ที่ผมเรียกมันว่า Design Interior รถตู้ VIP (ฮา)

จุดสังเกตที่อยากชี้ให้ดูก็คือ ที่นั่งแถว 1 นั้น Lufthansa ออกแบบโต๊ะวางอาหารให้มีลักษณะเป็นโต๊ะพับออกมาจากบริเวณผนังด้านหน้า ไม่ได้ซ่อนอยู่ใต้ที่รองแขนเหมือนกับที่นั่งบนเครื่องบินบางรุ่น ข้อดีก็คือ สามารถลุกไปเข้าห้องน้ำได้โดยไม่ต้องพับโต๊ะอาหาร เพียงแค่ถอยโต๊ะออกไปเท่านั้นเอง หรือหากต้องการให้โต๊ะอาหารเข้าใกล้ตัวเราขึ้นมาก็เพียงแค่ดึงโต๊ะอาหารเข้ามาหาตัวเรา สะดวกสบายมาก

หลังจากที่ Boarding เรียบร้อยแล้ว เครื่องบินก็พุ่งทะยานขึ้นออกจากกรุงปารีส พาเรามุ่งหน้าสู่บาวาเรีย โดยมีการ Delay จากกำหนดการเดิม 10:45 กลายเป็น 11:00 เนื่องจากการจราจรทางอากาศที่คับคั่งในช่วงเช้าที่ปารีส ลาก่อน ปารีสที่แสนวุ่นวายนรกแตก

เมื่อเครื่องไต่ระดับขึ้นไปได้ซักพัก พนักงานก็เริ่มให้บริการขายอาหารและเครื่องดื่มในชั้น Economy ซึ่งในการขายนี้จะรับบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต หรือ Apple Pay ต่าง ๆ ด้วยนะครับ และแม้ว่าเครื่อง iPhone ของเราจะไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่เราก็สามารถใช้ iPhone แตะจ่าย Apple Pay ได้ตามปกติ ท่าทึ่งทีเดียว

แต่สำหรับผู้โดยสารในชั้น Business จะมีการเสิร์ฟอาหารร้อน ซึ่งจะไม่ได้มีตัวเลือกให้แบบในเที่ยวบินยาว ๆ อันนี้ใครที่ต้องการ Special Meal หรือมีข้อจำกัดด้านอาหารต่าง ๆ อาจจะต้องจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ก่อน ซึ่งทางผมไม่ได้มีปัญหาอะไรก็เลยไม่ได้สั่งล่วงหน้า โดยเมนูวันนี้จะเป็น “เป็ดรมควัน” พร้อมกับขนมปัง ผักสดพร้อมกับมูส และมีของหวานเป็นเค้กช็อกโกแลต หน้าตาออกมาน่าทานมาก ๆ ครับ ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นอาหารที่เดินทางออกมาจาก Charles de Gaulle

ไม่ใช่แค่หน้าตาออกมาดูดี แต่รสชาติก็อร่อยมาก ๆ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดคาดที่สุดในการบินครั้งนี้ เพราะหลังจากที่ได้ดูรีวิวสายการบินในยุโรปต่าง ๆ เที่ยวบินในยุโรปอาหารและการบริการมักจะได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างแย่ ทั้งในเรื่องของการเสิร์ฟขนมปังโง่ ๆ เย็น ๆ หรือการให้บริการที่ไม่สมกับเป็น Business Class แต่พอมาเจอแบบนี้ ต้องยอมเขาครับ Lufthansa ทำได้ดีมาก ๆ จริง ๆ

ในขณะที่ให้บริการอาหารนั้น เราสามารถขอเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ตามปกติ ซึ่งใน List ก็จะจัดเต็มเลยครับ แม้จะเป็นเที่ยวบินสั้น ๆ แต่เครื่องดื่มที่ขนมานี่ ดีกว่าสายการบินในประเทศ หรือแม้กระทั่งเที่ยวบินไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรามาก แน่นอนว่าบิน Lufthansa ทั้งที ก็ต้องลองสั่งเบียร์ครับ

แอบเสียดายที่ไม่มีเบียร์สดบนเครื่องบิน (จะบ้าเหรอ) แต่เบียร์ที่ทาง Lufthansa เสิร์ฟจะเป็น Beck’s ซึ่งก็เป็นเบียร์เยอรมันแบรนด์ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี มีรสชาตินุ่ม แทบไม่มีกลิ่น แต่ได้รสความเป็นเบียร์ เหมาะสำหรับทานเป็นอาหารเช้า (อะไรวะ) ซึ่งราคาไม่ถูกนะครับแบรนด์นี้และหาในไทยค่อนข้างยากด้วย

และนี่ก็คืออาหารเช้าที่ทาง Lufthansa ให้เรามานะครับ จะสังเกตว่า Lufthansa เลือกที่จะใช้แก้วเป็นแก้วจริง ๆ รวมถึงช้อนกับส้อม และจาน ก็จะเป็นพาชนะจริง ๆ ก็สมควรหล่ะครับ ใครจะอยากกินไวน์หรือเบียร์ดี ๆ กับแก้วพลาสติก สำหรับเรื่องที่นั่งอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่เรื่องอาหารอยากย้ำอีกรอบว่ายอมเขาจริง ๆ รายนี้

และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ เราก็จะได้ที่นั่ง 3 แถวเป็นของตัวเราเอง อย่างที่ผมบอกว่า เราจะเปิดโต๊ะเอาไว้ 1 ตัว เป็นที่สำหรับวางขนม เบียร์ หรือของใช้ส่วนตัวของเราก็ได้ เต็มที่ ถ้าเปรียบเทียบก็คือแม้จะเป็น Business Class เครื่องเล็ก แต่โล่งแบบนี้ ก็เรียกได้ว่าสบายไม่แพ้ Busniess Class เครื่องใหญ่เลย

Enjoy กับเที่ยวบินได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมง 30 นาที กับตันก็ประกาศว่าเราได้เดินทางมาถึงสมาพันธรัฐเยอรมันเรียบร้อย จัดการเก็บโต๊ะ เปิดหน้าต่าง ๆ เช็คข้าวของ เตรียมพร้อมลงจอดสู่ท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิก

และแล้วเราก็ได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานมิวนิกเป็นที่เรียบร้อย และถึงช้ากว่ากำหนดการเดิมไม่มากนัก แค่หลัก 5-10 นาทีเท่านั้น ไม่แย่เลยสำหรับเที่ยวบินออกจากสนามบินที่วุ่นวายในปารีส จบการเดินทางสั้น ๆ ที่น่าประทับใจนี้

สรุปการเดินทางครั้งนี้ผมต้องบอกได้เลยว่า ประทับใจเรื่องของอาหารมากที่สุด ใครที่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องอาหารน่าจะพึงพอใจ ในขณะที่การบริการ อาจจะไม่ได้นอบน้อมเหมือนฝั่งเอเชีย แต่ผมมองว่าเป็นข้อดีเสียอีกว่าเราไม่ได้ต้องการให้ใครมาช่วย ถ้าเขาทำดีกับคุณเกินกว่าบริการที่เขาควรจะให้นั่นเพราะเขาเอ็นดูคุณหรือชอบคุณ ไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่หรืออะไร

แต่จริง ๆ แล้วต้องยอมรับว่าลูกเรือ Lufthansa นั้น Helpful มาก ๆ ครับ ก่อนเครื่องลง ลูกเรืออาสาที่จะนำเอากระเป๋าของผมไปเก็บในตู้เก็บของด้านหน้าตรงห้องนักบินให้ (เนื่องจากเหนือแถว 1A นั้น ที่เก็บกระเป๋าจะเป็นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต่าง ๆ) ซึ่งก็น่าประทับใจดี

ถ้ามีโอกาสบินในยุโรป ผมก็อยากที่จะยอมจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย แล้วได้บินกับบริการดี ๆ แบบนี้ แต่ในรอบหน้าคงจะต้องเผื่อเวลามาพักผ่อนในเลาจน์ให้มากกว่านี้ และแน่นอนว่าถ้าไม่ได้เจอประสบการณ์แบบนี้ ผมอาจจะเซ็งกับเที่ยวบินสั้น ๆ แต่นั่งรถเกือบ 2 ชั่วโมง และต่อคิวสนามบินอีก 1 ชั่วโมงจนทริปนี้พังเลยก็ว่าได้