Power of Ignorance ไม่ได้ตั้งใจไม่ได้นับว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์
คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นอีกหนึ่งคำที่เราจะได้ยินปรากฏบ่อยมาในสัวคมไทย โดยเฉพาะเวลาที่มีใครทำอะไรห่าม ๆ งี่เง่า และดูไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราจะได้รับจากปากคนพวกนี้ก็คือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งเป็นการเพิ่มภาพด้านลบเข้าไปอีก
แม้ว่าคำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์นี้ จะกลายเป็นเหมือนคำหยาบในการสารภาพปาบไป แต่อีกนัยนึง คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มีความหมายในตัวมันเอง เราเคยถามตัวเองไหมว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั้นต่างจากไม่รู้ยังไง เราอาจจะบอกว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์คือการไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผลเช่นนั้น แต่คำว่าไม่ได้ตั้งใจอาจจะไม่ได้ครอบคลุมถึงทุกอย่างที่ทำให้คนคนนั้นแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมาได้
ในหนังสือเรื่อง Predatory Thinking ของ Dave Trott เจ้าของบริษัทเอเจนซีโฆษณาที่โด่งดังที่สุดในอังกฤษ ได้มีบทบทหนึงที่ตั้งชื่อว่า The Power of Ignorance หรือ พลังแห่งความไม่รู้ ซึ่งหัวข้อของมันก็ไม่ได้เป็นการชี้นำว่าเป็นด้านบวกหรือด้านลบแต่อย่างไร แต่เราลองมาดูสิ่งที่คุณ Trott บอกว่าเป็นความ Ignorance ว่ายกตัวอย่างอะไรบ้าง
ครอบครัวครอบครัวหนึ่งมีบิลค่าโทรศัพท์เรียกเก็บเข้ามาแพงกว่าปกติ ในขณะที่บ้านหลังนั้นไม่ได้มีใครเลยนอกจากคู่สามีภรรยาและลูกเล็ก บริษัทโทรศัพท์แจ้งมาว่ามีการใช้งานสายยาวถึง 2 ชั่วโมง เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนอะไร เฉลยว่าแท้จริงแล้ว ลูกชายคนเล็กของทั้งคู่ต่างหากที่ไปกดเบอร์เล่านิทานก่อนนอนอัตโนมัติ จากนั้นเมื่อนิทานจบ เจ้าลูกชายก็ทิ้งโทรศัพท์เอาไว้แบบนั้น โดยที่ไม่เข้าใจ Concept ของสิ่งที่เรียกว่า End Call หรือ การางสาย
แน่นอนว่าเด็กชายรู้ว่าโทรศัพท์ใช้งานยังไง เขาสามารถใช้โทรศัพท์ได้ตามที่เขาต้องการ เด็กชายอาจจะเคยคุยกับคุณย่าผ่านทางโทรศัพท์ เขาเข้าใจว่าคอนเซปของโทรศัพท์ คือเอาไว้ใช้ติดต่อกับคนที่ห่างไกล ซึ่งก็แค่นั้นคือสิ่งที่เขาถูกสอน การชำระเงิน และการางสาย อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ของเด็ก เด็กชายไม่เคยวางสายเอง เพราะหลังจากที่เขาคุยกับใครก็ตามที่ปลายสายเสร็จ คุณแม่จะเป็นคนจัดการทุกอย่างที่เหลือ
นี่เป็นตัวอย่างของ Ignoreance แน่นอนว่าเด็กชายไม่ได้ตั้งใจให้แม่ของเขาเสียเงินโทรศัพท์มากกว่าเดิม (หรือรู้ด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์ต้องเสียเงินด้วย) ซึ่งในกรณีนี้เราไม่สามารถว่าอะไรเด็กได้ เว้นแต่ว่าเราจะสอน concept ของโทรศัพท์ ว่ามันคือเครื่องที่ทำให้เราคุยกับคนที่อยู่ไกล ๆ ได้โดยเสียงานตามเวลาที่ใช้ไป
แม้ว่าเวลาจะผ่านไป แต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็คังคงปรากฏให้เห็นได้บ่อย ๆ แต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นเด็กกดซื้อของใน Game ผ่าน In App Purchases แทนจนไปหักเงินในบัตรเครดิตของพ่อแม่จนหมดสิ้น เด็กไม่รู้หรอกว่านี่คือการเสียเงิน ระบบ In App Purchases ของ Apple นั้นดูล้ำเกินกว่าจะอยู่ในความเข้่าใจของเด็ก ก็แค่กดไอเทมในเกม (ไม่ได้ออกจากเกมด้วยนะ) ทำไมทำให้ทั้งเดือนครอบครัวนี้ต้องกินมาม่าไปทั่งเดือน
กรณีนี้อาจเรียกได้ว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นนี้คุณ Trott ยกตัวอย่างชายคนนึงมี่เอาแกะมาเลี้ยงในเมือง แกะของเขาอ้วนขึ้นทุกวัน เขาพยายามลดอาหารลงแต่ก็ไม่เป็นผล แกะยังคงอ้วนขึ้นวันแล้ววันเล่า จนเขาตัดสินใจหยุดให้อาหาร สุดท้ายแกะของเขาก็ตายเพราะอดอาหาร เพียงแต่ว่าสุดท้ายเขามาค้นพบว่าแกะของเขาไม่ได้ด้วยขึ้น มันแค่ขนยาวขึ้นจนดูพองเท่านั้น
แน่นอนว่าขน เป็นตัวแปรที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของชายผู้นี้ เขาไม่ใช่เกษตรกร ไม่รู้เรื่องขนแกะมาก่อน สิ่งที่เราขำมาใช่คิดเป็นเพียงแต่สิ่งที่เขารู้อยู่แล้วว่า กินมากก็ต้องอ้วน แม้ว่าจะเป็นความผิดของชายคนนี้เอง ที่ไม่ศึกษาวิธีเลี้ยงแกะก่อน แต่เราอาจจะให้อภัยเขาได้ในฐานะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ก็เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกะขนยาวได้)
ดังนั้นคำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เราสามารถมองได้ว่าเป็นความ Ignorance หรือว่าความไม่รู้ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ไม่รู้จริง ๆ ถึง Concept ของสิ่งนั้น ไม่รู้ว่าใช้สายชาร์จปลอมแล้วมือถือจะพัง ไม่ใช่รู้ว่า สายชาร์จปลอมทำให้เครื่องพัง แต่ก็ยังลองเพราะคิดว่าคงไม่เป็นไร ถ้าพังขึ้นมา คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็อาจจะไม่ครอบคลุมกรณีนี้
ดังนั้นตัวอย่างก็คงมีให้เห็นกันมากอยู่แล้ว ว่าการไม่รู้ กับการไม่ได้ตั้งใจให้เกิดนั้นเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง หากแต่อย่างไร คำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงจะกลายเป็นคำที่รับบาปแทนความไม่ตั้งใจแต่รู้ว่าถ้าเกิดขึ้นเป็นเช่นนี้ไป ถ้าเกิดมันยังคงถูกนำมาใช้อยู่เรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะ Ignorance จริง ๆ หรือมโนว่า Innorance จากตัวอย่างแค่เพียง 2 ข้อด้านบนก็คงจะบ่งบอกแล้วว่า พลังของ Ignorance นั้นมีมากจริง ๆ ส่วนจะในด้านไหน ก็ขอไม่ชี้นำเหมือนหัวบทความ แต่เราเชื่อว่าพวกเราเองก็คงรู้อยู่แก่ใจ